ขอโทษประเทศไทย

จำนวนผู้เข้าชม

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฝึกคิดแง่บวก

ฝึกคิดแง่บวก
พลังความคิดมีจริง แถมยังส่งผลต่อการสุขภาพและจิตใจเราด้วย อย่างนี้ แล้วความคิดจึงสำคัญอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าสามารถกำหนด
ชีวิตนิสัย และอารมณ์ดีๆ ของเราได้เลย
การมองโลกในแง่ดีมีแต่จะเกิดเรื่องดีๆ กับเรา เพราะทัศนคติเช่นนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันทางใจให้เรา เป็นคนเข้มแข็ง
ไม่เครียดวิตกกับอะไรง่ายๆ มีกำลังใจในการใช้ชีวิต และยังเคารพตัวเองด้วย
จริงๆ แล้วการมองโลกในแง่ร้ายเกิดจากสัญชาตญาณความกลัวนี้เอง เพราะเรากลัวเราจึงต่อต้าน เพื่อป้องกันตัวเองไว้ก่อน และเมื่อฝังลึกเข้าเราจึงกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุข คิดแต่จะจับผิด คิดร้าย และเครียดบ่อยๆ ทั้งที่ ไม่จำเป็นเลย การเปิดใจต่างหากที่ทำให้เราเป็นอิสระ มีเพื่อนฝูงมากมาย รู้จัก เคารพและให้ความสำคัญกับความ
รู้สึกตัวเอง และที่แน่ๆ เรายังมีจิตใจดีและมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าใครๆ อีกด้วย
การที่เราฝึกซ้ำๆ บ่อยๆ สามารถช่วยได้มากกับการเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเอง ลองนำไอเดียเหล่านี้ติดตัวไว้ดูสิ
เผื่อว่าคุณจะเกิดประกายความคิดดีๆ กับตัวเองตั้งแต่นาทีนี้...

พลังบวก
ความคิดในด้านบวกมีพลัง ทั้งพลังความสุข ความสงบ และยังนำแต่สิ่งดีๆ มาให้คุณอีกต่างหาก

คลื่นความคิด
ความคิดเป็นคลื่นที่ส่งไปได้ไกล ความคิดร้ายๆ จึงสามารถส่งถึงกันได้ ทำให้คุณกลายเป็นคนบุคลิกภาพไม่น่าสนใจ แต่ความคิดบวกๆ กลับทำให้คุณเป็นคนน่าเข้าหา น่าใกล้ชิด

ลดเครียด
คิดบวกเมื่อไหร่ ความเครียดจะหายไปทันที นอกจากนี้ยังเป็นการจัดการอารมณ์ด้านลบได้อีกหลายอย่าง

สุุขภาพดี
การมีสุขภาพจิตดีนั้นเป็นเรื่องแน่นอน แตนอกจากนี้่ยังได้สุขภาพที่แข็งแรง และยังมีภูมิคุ้มกันโรคด้วย
ทั้งนี้เป็นเพราะจุดตั้งต้นจากความคิดเท่านั้น

อายุยืน
นอกจากสุขภาพดีๆ ผลวิจัยยังบอกด้วยว่า คนที่คิดในแง่บวกจะมีอายุยืนกว่ามาก และยังมีคุณภาพชีวิต
ที่ดีในระยะยาวอีกด้วย

วิธีรักษ์โลก

เรื่องราวเกี่ยวกับมลภาวะบนโลก ได้รับความสนใจจากหลากหลายฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งมีหลายหน่วยงานจัดตั้งเพื่อรณรงค์ เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนหันมาใส่ใจ ตระหนักและช่วยกันแก้ไขปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ทั้งเรื่องขยะล้นโลก น้ำเสีย สัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์ รวมถึงโลกร้อนที่กลายมาเป็นเรื่อง Talk of The Town กันในตอนนี้
เรามาดูกันว่า วิธีที่จะรักษาโลกใบนี้ให้หน้าอยู่ โดยการเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเรา ทำได้อย่างไร
ลดปริมาณขยะ
1. โดยการทิ้งขยะให้เป็นที่
2. นำถุงพลาสติกที่ยังไม่มีการปนเปื้อนที่ได้มาจากร้านค้ามาใช้ใหม่
3. ลดการใช้โฟม เพราะโฟมไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
ลดการใช้พลังงาน
4. ลดการใช้พลังงานน้ำมัน โดยสารรถประจำทาง หรือรถไฟฟ้าในเมืองใหญ่
5. ลดการใช้ไฟฟ้า เปิดไฟเท่าที่จำเป็น ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ในออฟฟิสบางแห่ง ได้ปิดไฟในช่วงเวลาพักเที่ยง เพื่อประหยัดพลังงาน
6. ดูรายการโทรทัศน์รายการเดียวกันในครอบครัว วิธีนี้จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เพิ่มอ๊อกซิเจนให้กับน้ำ
7. อย่าทิ้งขยะลงในแม่น้ำ
8. พบเห็นโรงงานปล่อยของเสียลงในแม่น้ำ ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ให้ทราบ เพื่อจะได้ดำเนินการเอาผิดกับโรงงานนั้น ๆ ต่อไป
รักษาพันธุ์สัตว์ป่า
9. อย่าซื้อ ขาย สัตว์ป่า
10. สอดส่องผู้ที่กระทำผิด และทารุณสัตว์ป่า


ช่วงนี้กำลังเป็นประเด็นยอดนิยม คือ เรื่องโลกร้อน ฟังดูเหมือนไกลตัว แต่ช่วงนี้อากาศร้อนจริงๆ เริ่มชักไม่ค่อยไกลตัวสักเท่าไรแล้ว สื่อหลายประเภทพูดถึงวิธีต่างๆ ที่จะช่วยบรรเทาอาการป่วยของโลก ทำอย่างไรให้อากาศไม่แปรปรวน เช่น การใช้กระเป๋าผ้าแทนถุงพลาสติก ถ้าจะให้ดีควรจะดูที่ต้นเหตุ มนุษย์อย่างพวกเราเองที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุของปัญหา แต่จะจริงหรือไม่ ยังไม่แน่ใจ ถ้ามัวแต่รอหาคำตอบว่าใครกันแน่เป็นตัวการทำลายสภาพแวดล้อม มนูษย์หรือธรรมชาติเอง คงต้องมีคนเป็นมะเร็วผิวหนังกันเพิ่มมากขึ้นอีกเยอะ ทางที่ดีเราควรจะช่วยกันสำรวจตัวเองว่าอยากเป็นพวกบ่อนทำลาย หรือ เป็นฝ่ายช่วยบรรเทาโลกของเรา ลองดูกันว่าเรามีวิธีอะไรที่พอจะทำได้ โดยอาจจะไม่สามารถทำได้หมดพร้อมๆ กันทุกข้อ พยายามเริ่มจากหนึ่งข้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าโลกของเราน่าจะดีขึ้น
การที่จะทำให้ชุมชนที่เราอาศัยอยู่มีความเขียวขจีและร่มรื่นด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่มมากขึ้นนั้นง่ายนิดเดียว โดยเริ่มจากการแบ่งปันสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว บ้านไหนที่ปลูกต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับหลายชนิด ลองแบ่งปันเมล็ดพันธุ์ และ กิ่งพันธุ์ุ ให้กับเพื่อนบ้างของเราได้นำไปปลูกต่อ วิธีนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยทำให้เกิดความร่มเย็นได้เร็วขึ้น และยังเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านด้วย โลกร้อนก็มีข้อดีเหมือนกันทำให้เราได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านมากขึ้น


วิถีชีวิตของครอบครัวสมัยใหม่ที่พึ่งมีลูกน้อยต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลา และต้องการความสะดวกสบาย พ่อแม่สมัยใหม่จึงนิยมใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปกับลูกน้อย แม้ครอบครัวส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยสะดวก ที่จะใช้ผ้าอ้อมที่เป็นผ้าได้ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ผ้าอ้อมทีเป็นผ้าบ้าง เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่กับบ้าน หรืออย่างน้อยในช่วงสุดสัปดาห์ลองใช้ผ้าอ้อมที่เป็นผ้าแทนการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปตลอดเวลา จะช่วยลดขยะ และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย

ผ้าเช็ดหน้าทำจากผ้า
ส่วนมากเรามักคุ้นเคยการใช้ผ้าเช็ดหน้าสมัยเด็กมากกว่า พอเมื่อเราโตขึ้นผ้าเช็ดหน้าก็หมดความหมายกับเราลงไปเรื่อยๆ สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือการใช้กระดาษเช็ดหน้าหรือเช็ดปาก(paper napkin) ผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าลายน่ารัก ราคาไม่แพงมีมากมาย ลองหามาใช้เพื่อย้อนความรู้สึกเป็นวัยเด็กอีกครั้งก็ดีเหมือนกัน นอกจะช่วยลดปริมาณการนำเยื่อไม้มาทำกระดาษแล้ว ช่วยลดปริมาณขยะ ประหยัดค่าใช้จ่าย และยังเพิ่มเสน่ห์ให้กับสาวๆด้วย เมื่อทำผ้าเช็ดหน้าตกอาจมีหนุ่มมาเก็บผ้าเช็ดหน้าให้ แต่ถ้าเป็นกระดาษเช็ดหน้าหล่นคงมีแต่คนเหยียบซ้ำ

ผ้าเช็ดปาก
บางครั้งเรามักมองข้ามสิ่งเล็กน้อย และเห็นว่าไม่ใช้เรื่องของเรา ถ้าเราออกไปข้างนอกและเห็นไฟตามท้องถนนติดอยู่ตอนกลางวัน คนส่วนใหญ่มักไม่สนใจเพราะถือว่าธุระไม่ใช่ นับแต่นี้ต่อไปลองคิดใหม่ถ้าเราเห็นไฟสาธารณะตามท้องถนนติดอยู่ในช่วงกลางวัน ลองช่วยกันโทร.แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รีบแก้ไข ส่วนภูมิภาคติดต่อ กฟผ.1129 และ ส่วนนครหลวง กฟน.1130 การที่เราปล่อยให้ไฟส่องสว่างตามท้องถนนติดในเวลาที่ไม่เหมาะสมนั้นเท่ากับเราปล่อยให้มันเผาไหม้พลังงาน ทำให้อายุการใช้งานหลอดไฟสั้นลง และผลาญเงินของเราไปอย่างเปล่าประโยชน์ ถ้ามัวแต่นิ่งเฉยเราจะเห็นท้องถนนหลายแห่งไม่มีไฟส่องสว่างยามค่ำคืน สิ่งที่ตามมาคือ อุบัติเหตุ และ อาชญากรรม
วิธีต่างๆที่เรารู้กันอยู่แล้ว รวมทั้งวิธีด้านบนนี้จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราเกี่ยงกันว่าให้คนอื่นเริ่มก่อน คนอื่นยังไม่เริ่มเลยแล้วเราจะเริ่มทำไม ถูกต้องการลงมือทำเพียงคนเดียวไม่เห็นผลแน่ ลองลงมือทำไปเลยโดยไม่สนใจว่าใครจะเริ่มก่อนหลัง เมื่อทำพร้อมๆกันโดยไม่ต้องนัดหมายเห็นผลแน่

10 วิธีเรีนเก่ง

10 วิธีเรียนยังไงให้เก่ง
10 วิธีเรียนยังไงให้เก่ง
1.มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งเรียนหนังสือที่บ้าน จำไว้ว่าสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เรามีสมาธิในการเรียน
2.ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหนและลงมือทำอย่างเต็มที่จนเสร็จ
3.บางวิชาที่ยากๆให้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ช่วยกันติว ช่วยกันเรียน ผลัดกันค้นคว้า ตั้งคำถาม จะช่วยให้เก่งกันยกกลุ่ม
4.มีเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกๆวัน วันละนิดวันละหน่อย ฝึกจนเป็นนิสัย อย่าตั้งใจเรียนหนังสือเป็นพักๆ
5.ฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอๆ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ จัดระเบียบความคิด และ สรุปเนื้อหาจะช่วยในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
6.นั่งใกล้ครูมากที่สุด จะได้ไม่มีอะไรมาดึง ความสนใจในการเรียนของเรา
7.ทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าทำเสร็จเร็วเท่าไร จะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น
8.จัดลำดับความสำคัญของวิชาที่ต้องทำ เช่น วิชาไหนด่วนที่สุด หรือหัวข้อไหนไม่เข่าใจ ต้องเรียงลำดับไว้ และ ทำ ตามให้ได้
9.ทำความเข้าใจว่าครูผู้สอนแต่ละวิชามีการให้คะแนนอย่างไร คะแนนเก็บเท่าไร คะแนนสอบเท่าไร วางแผนทำคะแนนให้ดีในแต่ละส่วน
10.สำคัญที่สุดในการเรียน ก็คือมุ่งมั่นตั้งใจเรียนไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าตัวเราเองไม่อยากเรียนเก่ง เพราะฉะนั้นจำไว้ว่า Work Smart , Not Hard

กินผลไม้ให้ถูกเวลา

กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า
บ้านเราโชคดีที่เป็น ประเทศที่มีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกกินกันได้ไม่มีขาดตลอดทั้งปี แถมราคาก็ยังไม่แพง ได้ของสดๆ ตรงจากสวนจากไร่แทบไม่ต้องง้อผลไม้ แช่เย็นจากแดนไกล ( เว้นแต่ใครอยากกินผลไม้แปลกใหม่ไม่มีในเมืองไทยก็ไม่ว่ากัน) ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาชาวต่างชาติมากมายติดใจไม่น้อย เพราะที่บ้านเมืองเขาอาจซื้อหาผลไม้ มากินในราคาถูกแบบนี้ได้ไม่ง่ายนักคนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะ จะได้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก หรือคุณอาจเคยได้ยินว่า กินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก แถมยังทำให้อารมณ์ดี เพราะเชื่อว่าในกล้วยมีสาร Tryptophan เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น Serotonin ที่เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็น เรื่องรอง มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย
ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์
หนังสือขายดีไปทั่วโลกชื่อ Fit for Life ของนักบรรยายเรื่องโภชนาการชาวอเมริกัน ฮาร์วีย์ และมาริลีน ไดมอนด์ ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินผลไม้จนเราอดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่ายทอดสู่กัน ฟังว่า ที่จริงแล้วเมื่อสืบค้นถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ อย่างที่ ดร.อลัน วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ ได้เผยผลการศึกษาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2522 นั้น ดร.วอล์คเกอร์ได้ศึกษาอย่างละเอียดทั้งจากหลักฐาน โครงกระดูกและฟันของมนุษย์ ตลอดจนซากฟอสซิลต่างๆ เขายืนยันว่ามนุษย์นั้น แต่เดิมไม่ใช่เป็นพวกที่กินเนื้อ เมล็ดพืช หรือแม้แต่ผักหญ้าใดๆ หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วย การเก็บผลไม้มากิน ธรรมชาติได้สร้างร่างกายคนให้รองรับกับการกินผลไม้เป็น อาหารตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เพิ่งมามีช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้เองที่เราหันไปกินเนื้อสัตว์กันมาก ขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งผลตามมาก็คือ ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก บางครั้งปรับตัว ไม่ไหวก็กลายเป็นพิษ เห็นจากอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เต้านม ตับ กระเพาะอาหาร ฯลฯ ขณะที่การกินผลไม้เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยล้างพิษ เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ ในปริมาณ 80-90% ทั้งมีกากใย จึงช่วยกวาดล้างพิษต่างๆ ซึ่งคั่งค้างในร่างกายให้ออก ไปโดยการขับถ่าย ดังนั้นเมื่อรวมกับสารอาหารที่เราได้จากผลไม้แล้ว จึงนับว่าเป็นอาหาร ที่ให้ประโยชน์กับร่างกายสูงกว่าอาหารอีกหลายชนิด ในข้อแม้ว่าต้องกินอย่างถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ
นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่า การกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึง ผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลง ผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผล ต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาล ฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจาก น้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาล ผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ยถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของ การเกิดโรคหัวใจและหัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไป อุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร จากผลไม้ไปใช้ในร่างกายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อย จะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะ ไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป
กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด
ไดมอนด์เสนอแนว ความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่าย ของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกาย จะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้ อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้ พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหาร อื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไป ตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลา ย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็ก ได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหาร และผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้ เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้ จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กิน ผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น
ดังนั้นหากใครที่กินอาหาร แล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้า นั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย
ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่น จนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่า ของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อย ต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่ สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเรา สามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อย กินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหาร สำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ
มาตรฐานคือ ต้อง “ สด ” 100%
ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ใน สภาพธรรมชาติเท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือก ดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหาร แบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็น วันที่แจ่มใสได้อีกด้วยแนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นอีกแนวทาง หนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลายนะคะ

ภัยสังคมของผู้หญิง

พอดีเมื่อตอนเย็นหลังเลิกงานได้คุยกับนายช่างตามประสาผู้ชาย (ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคงหนีไม่พ้นเรื่องผู้หญิง) ส่วนเราเป็นผู้หญิงคนเดียวเลยนั่งฟังตาปริบ และถือเป็นความรู้ประดับตัวสำหรับผู้หญิงยามเจอผู้ชายเจ้ามารยา

เรื่องมันเริ่มจากการจีบหญิงเหมือนเช่นทุกวัน บางทีก็พูดกันเรื่องกรรมกรสาวคนนั้นคนนี้น่า....ชะมัด (ขอละเป็นที่เข้าใจแล้วกัน) แต่ไม่รู้คุยกันอีท่าไหนก็มาถึงเรื่อง ข่มขืนผู้หญิงโดยไม่มีความผิด (ผู้ชายอาจถือเป็นเคล็ดวิชา แต่ท่านผู้หญิงทั้งหลายควรระวังตัว!!)

วิธีง่าย ๆ สำหรับการหลอกหญิงมาข่มขืน ก็คือผู้ชายวางแผนพาหญิงไปกินข้าวที่โรงแรม อาจจองห้องไว้ แล้วให้ผู้หญิงสั่งอาหารเอง รับอาหารจากบ๋อยเอง แล้วเปิดประตูทิ้งไว้โดยไม่ปิดเพื่อให้ผู้หญิงวางใจว่าผู้ชายไม่ได้หลอกพามาฟัน ส่วนผู้ชายก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ไปอาบน้ำ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ต้องสั่งอาหารหรือรับอาหารจากมือบ๋อย หลังจากนั้นก็สร้างภาพง่าย ๆ โดยการส่งเสียงดังเฮฮา เพื่อให้คนภายนอกรู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น และเมื่อคนภายนอกตายใจ หรือเรียกว่าการสร้างพยานนั่นเอง ผู้ชายก็จัดการล็อคประตูแล้วข่มขืนผู้หญิงทันที

เรื่องมันก็มีแค่นี้ล่ะ หากแจ้งตำรวจขึ้นโรงขึ้นศาล พอไปสืบสวนสอบสวนจากพยานในเหตุการณ์ เขาก็รายงานตามที่เห็นว่าคนสั่งอาหารเป็นคุณผู้หญิง รับอาหารก็คุณผู้หญิง ส่งเสียงเฮฮาโล้งเล้งก็คุณผู้หญิง คุณผู้ชายไม่ได้แตะต้องหรือทำอะไรที่เป็นการส่อว่าล่อลวงมาข่มขืนเลย และเข้าทำนองว่ายินยอมพร้อมใจเองหรือเปล่าด้วยประการฉะนี้

หากผู้หญิงคนไหนนัดทานข้าวกับชายใดควรระวังให้จงหนักไว้คราวหลังจะหลอกถามนายช่างเรื่องควรระวังของผู้หญิงต่อ
........................................................................................................................................................................

ไม่ว่าคอนโดฯ ที่คุณอยู่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยแค่ไหน ผู้หญิงที่อยู่ตามลำพังย่อมมีโอกาสตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสทำร้ายคุณได้ตลอดเวลา
ที่พักอาศัยไม่ใช่ที่ปลอดภัยที่สุด หญิงสาวที่อยู่คอนโดฯ ตามลำพังมีโอกาสเสี่ยงตกเป็นเหยื่อแก๊งทรชนได้โดยไม่ทันตั้งตัว บางรายแค่ถูกชิงทรัพย์ บางรายถูกข่มขืนแต่ร้ายที่สุดคือถูกฆ่าหมกห้องพัก เหตุเพียงเพราะมิจฉาชีพ มองว่าผู้หญิงเป็นเป้าหมายที่ลงมือได้ง่าย ผนวกกับสถานการณ์รอบข้างที่เอื้อต่อการลงมือของคนร้าย ที่พักเป็นภัย
หลายปีก่อนเกิดเหตุฆาตกรรมสุดสยองดังสนั่นกรุง เมื่อพนักงานธนาคารสาวหน้าตาสวยและรูปร่างดีที่อาศัยอยู่คอนโดฯ คนเดียวเพียงลำพังย่านรามคำแหง ถูกคนร้ายปืนเข้าหลังห้องหวังจะจี้ชิงทรัพย์ แต่หญิงสาวพยายามต่อสู้ก็เลยถูกคนร้ายใช้มีดแทงจนสิ้นใจตาย หรือไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็มีข่าวเด็กสาววัย 17 ปี ซึ่งพักอาศัยอยู่กับน้าสาวบนชั้น 10 ของคอนโดฯ แห่งหนึ่ง ถูกวัยรุ่นขายล็อกคอฉุดกระชากออกจากลิฟต์หมายจะข่มขืนและทำร้ายร่างกายเธอ หลังจากร้องไห้คนช่วย และสุดท้ายเธอก็หนีรอดออกมาได้ แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ใช่ว่าจะโชคดีทุกคน เพราะล่าสุดก็มีข่าวนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งถูกคนร้ายฆ่ารัดคอบนเตียงในคอนโดมิเนียมย่านลาดพร้าว พร้อมลักทรัพย์ไปหลายรายการ อีกทั้งยังมีข่าวไม่คาดฝันเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้คอนโดฯ ชื่อดัง ย่านบางรักและไฟคลอกเจ้าของห้องเสียชีวิตรวม 3 ศพ
ทั้งๆ ที่มีข่าวเตือนภัยในหลายรูปแบบออกมาอย่างต่อเนื่องแต่ภาระหน้าที่การงานในปัจจุบัน ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องเข้ามาใช้ชีวิตในสังคมเมืองมากขึ้น ครั้นจะไปซื้อบ้านชานเมืองอยู่ เดี๋ยวนี้ก็ราคาแพง หลังก็เล็กลง และเสียเวลาเดินทาง เข้าเมืองเป็นชั่วโมง สิ้นเปลืองค่าน้ำมันอีกต่างหาก พวกเธอจึงตัดสินใจหาซื้อคอนโดฯ ใจกลางเมือง ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในชีวิตทุกๆ ด้าน จากการเปิดเผยของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์รายงานว่า ปีที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินเปิดให้บริการถึง 95 โครงการ มากกว่า 36,801 ยูนิต ขายไปแล้วมากกว่า 23,441 ยูนิต และคาดว่าในอนาคตกำลังจะเกิดขึ้นอีกหลายสิบโครงการ
ขณะเดียวกันท่ามกลางความเจริญและความสะดวกสบายที่ผู้คนยุคใหม่ใฝ่หาและมองว่าคอนโดมิเนียมเป็นที่พักชั้นดีที่จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภัยร้าย เช่น การแลกบัตรเข้า-ออก กุญแจการ์ดที่อนุญาตให้เฉพาะผู้ถือบัตรเข้าอาคารได้ กล้องวงจรปิดที่บันทึกทุกความเคลื่อนไหว สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ แต่ถ้าขาดการรักษาความปลอดภัยที่ควรมี ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าเหตุร้ายจะไม่เกิดขึ้นกับคุณ
จากการสำรวจอาชญากรรมในภาคประชาชนปี 2549 ในเขตกรุงเทพฯ พบว่า สถานที่เกิดเหตุมากที่สุดคือ บริเวณที่พักอาศัยหรือห้องพักของผู้เสียหาย อาชญากรรมต่อชีวิตที่พบมากที่สุดคือ เหยื่อถูกทำร้ายด้วยการฉุด กระชาก ผลัก ตบดี และทำร้ายด้วยอาวุธ ผู้ก่อเหตุเป็นคนแปลกหน้าเพียงแค่ 11% แต่เป็นคนที่พักอาศัยอยู่ใกล้ชิดหรือคนรู้จักมากถึง 84% ชีวิตแทรนด์ใหม่ ภัยร้ายใกล้ตัว
ท่ามกลางการใช้ชีวิตในคอนโดฯ ที่สะดวกสบายและมีทุกสิ่งตอบสนองการใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องการ โดยเฉพาะมีระบบป้องกันความปลอดภัยแน่นหนากว่าที่พักอื่นอย่างพาร์ตเมนต์ แฟลต หอพัก ฯลฯ แต่นั่นก็ไม่ได้การันดีว่าชีวิตคุณจะปลอดภัยและห่างไกลจากพวกมิจฉาชีพหรือตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี
คุณรู้หรือไม่ว่า เมื่อเทียบสถิติปี 2540 กับปี 2547 คดีข่มขืนมีสถิติพุ่งสูงขึ้น 35% จากตัวเลข 3,714 คดี เพิ่มขึ้นเป็น 5,052 คดี แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ สถิติข่มขืน และลวนลามทางเพศ 75% เกิดขึ้นในที่พักของเหยื่อเอง ไม่น่าเชื่อว่าอันตรายในที่พักจะน่ากลัวขนาดนั้น คุณสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าฝ่ายศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อหญิง เปิดเผยถึงสาเหตุของภัยต่างๆ ในคอนโดฯ ว่า
"ผู้หญิงที่อยู่อาศัยในคอนโดฯ ต้องระมัดระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้มากขึ้น มีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่า ผู้หญิงที่อยู่คอนโดฯ คนเดียวไม่ค่อยปลอดภัยและมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ง่าย คอนโดฯ เป็นพื้นที่ส่วนรวม ทางเจ้าของและผู้อยู่อาศัยคอนโดฯ ก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน จะหวังให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือมีใครมาช่วยดูแลอย่างเดียวก็คงไม่ไหว และคนที่จะไปพักอาศัยก็ต้องดูเรื่องระบบความปลอดภัยด้วย ไม่ใช่แต่ว่ามีคีย์การ์ดแล้วจะปลอดภัย เดี๋ยวนี้คอนโดฯ บางแห่งพัฒนาถึงขั้นใส่รหัสห้องก่อนเข้าห้องตัวเองหรือผู้อยู่อาศัย บางคนย้ายมาจากคอนโดฯ ที่มีปัญหามีคนตาย มาอยู่คอนโดฯ หรูๆ คิดว่าจะดี กลับมาเจอปัญหาเดิมๆ เข้าอีก ยิ่งผู้หญิงที่อยู่คนเดียวก็ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยส่วนตัวเท่านั้น บางครั้งจอดรถไว้ดีๆ ก็มีของหล่นมาทำให้รถบุบหรือรถเฉี่ยวชนกันในลานจอดรถ ซึ่งคุณไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ" อยู่คอนโดฯ ใช่โชคดีเสมอไป
ไม่ว่าคุณสาวๆ จะระมัดระวังตัวดีแค่ไหนก็ตาม แต่ที่พักอาศัยในคอนโดฯ ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกคนเสมอไป
• ระมัดระวังคนแปลหน้า นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ช่างไฟฟ้า ช่างประปา รวมไปถึงบุคคลภายนอก
• ภัยจากมุมตึก หรือบริเวณที่ลับตาคนภายในคอนโดฯ เช่น ทางหนีไฟ มุมทางเดินระหว่างบันไดในบางครั้งอาจจะมีคนร้ายแฝงอยู่เพื่อชิงทรัพย์หรือทำร้ายร่างกาย
• ลิฟต์ ควรตรวจสอบระบบการทำงานก่อนสักนิดว่าประตูลิฟต์เปิด-ปิดติดขัดหรือไม่ หากคนอื่นขึ้นลิฟต์ด้วยและควรพิจารณาบุคลิกลักษณะ ถ้าไม่น่าไว้ใจก็ปล่อยให้เขาขึ้นลิฟต์ไปก่อน
ลักทรัพย์ ลวนลามทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นคนในคอนโดฯ หรือคนภายนอก ก่อนให้เข้าห้องควรตรวจสอบว่าเขาเป็นใครก่อน เพราะมิจฉาชีพจะเข้ามาลักทรัทย์หรือลวนลามทางเพศและข่มขืนได้
• ทรัพย์สินเสียหาย กรณีที่พบบ่อยๆ คือรถโดนขูดโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งคนที่อาศัยอยู่คอนโดฯ มีโอกาสเกิดได้ทุกคน ส่วนใหญ่ในลานจอดรถไม่มีกล้องวงจรปิด
• ไฟไหม้เป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้เสมอ ถ้ามีห้องใดห้องหนึ่งในคอนโดฯ เป็นต้นเพลิงก็สามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้าคุณไม่รู้ทางหนีทีไล่ก็มีโอกาสเสี่ยงไม่น้อยไปกว่ากัน ประสบการณ์จริงในคอนโดฯ

คำคมภาษาอังกฤษ

"The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes."
- - Benjamin Disraeli - -
ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง

"You get the best out of others when you give the best of yourself."
- - Harvey Firestone - -
"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป"

"If you always do what interests you, then at least one person is pleased."
- - Katherine Hepburn - -
ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่ เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ

"Only two things are infinite, the universe and human stupidity,and I'm not sure about the former."
- - Albert Einstein - -
มีเพียงสอง สิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือจักรวาล และอีกสิ่งคือความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น

"Life remains the same until the pain of remaining the samebecomes greater than the pain of change."
- - Anonymous - -
ชีวิตจะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งความเจ็บปวดจากความนิ่งเฉย จะมากกว่าความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง

"He who loses money, loses much; He who loses a friend, loses more; He who loses faith, loses all."
- - Anonymous - -
เขา..ผู้ สูญสิ้นทรัพย์สินไปเขา..สูญเสียมากเหลือเกินเขา..ผู้สูญสิ้น เพื่อนไปเขา..สูญเสียมากกว่าเขา..ผู้สูญสิ้นความศรัทธาเขา..ผู้ นั้น.. สูญเสียยิ่งกว่าใครๆ

"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."
- - Anonymous - -
ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว

"The only thing in life achieved without effort is failure."
- - Anonymous - -
มี เพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือ ความล้มเหลว

"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."
- - Anonymous - -
บาง คนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

"No bird soars too high if he soars with his own wings."
- - William Blake - -
ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีก ของมันเอง

"Obstacles are those frightful things you seewhen you take your eyes off your goals."- - Anonymous - -
อุปสรรค คือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง

"Advice is like snow; The softer it falls the longer it dwells upon,and the deeper it sinks into, the mind."
- - Samuel Taylor Coleridge - -
คำแนะนำเหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมา ยิ่งบางเบาเพียงใดก็ยิ่งแตะเพียงเปลือกนอก และยิ่งหนักหนาเท่าใดก็ยิ่งลึกถึงความรู้สึกเท่านั้น

"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."
- - W.Shakespeare - -
ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว

"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;Small minds discuss people."
- - Anonymous - -
จิตใจที่ยิ่ง ใหญ่วิพากย์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากวิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน

"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it."
- - D.Kaye - -
ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้ง หมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา

"Forgive your enemies, but never forget their names."
- - J.F.Kennedy - -
จง ยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด

"The only man who never makes mistakes is the man who never does anything."
- - T.Roosevelt - -
คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

"If you want to increase your success rate,double your failure Rate."
- - T.Watson Jr (Founder of IBM) - -
ถ้าคุณต้องการประสบความ สำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว

"Even a Step back can be fatal."
- - W.Brudzinski - -
แม้ แต่การก้าวถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้

"Imagination is more important than knowledge."
- - Albert Einstein - -
จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ที่มี

"The reward of a good thing well done is to have it done."
- - Ralph Waldo Emerson - -
รางวัล ของสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมคือการได้สร้างมันขึ้นมา

"You see things and you say, 'Why?'!But I dream things that never were; and I say, 'Why not?"- - George Bernard Shaw - -
คุณ เห็นบางสิ่งบางอย่าง คุณจะพูดว่า"ทำไม" ในขณะที่ฉันได้เห็นความฝันของฉันซึ่งไม่เคยเป็นไปได้ ฉันพูดว่า "ทำไมถึงไม่มีสิ่งนั้นล่ะ"

"Do what you can, with what you have, where you are."
- - Theodore Roosevelt - -
ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่

"Freedom is nothing else but a chance to do better."
- - Albert Camus - -
อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น

"The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams."
- - Eleanor Roosevelt - -
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของ ตัวเองเท่านั้น

"God gives every bird it's food, But He does not throw it into it's nest".
- - Anonymous - -
พระ เจ้ามอบอาหารให้แก่นกทุกตัว แต่ไม่เคยโยนอาหารให้ถึงรังของนกเหล่านั้น"

มารยาทในการฟัง

มารยาทในการฟัง

1. เมื่อฟังอยู่เฉพาะหน้าผู้ใหญ่ ควรฟังโดยสำรวมกิริยามารยาท ฟังด้วย

ความสุภาพเรียบร้อย และตั้งใจฟัง

2. การฟังในที่ประชุม ควรเข้าไปนั่งก่อนผู้พูดเริ่มพูด โดยนั่งที่ด้านหน้า

ให้เต็มก่อนและควรตั้งใจฟังจนจบเรื่อง

3. จดบันทึกข้อความที่สนใจหรือข้อความที่สำคัญ หากมีข้อสงสัยเก็บไว้ถามเมื่อมีโอกาสและถามด้วยกิริยาสุภาพ เมื่อจะซักถามต้องเลือกโอกาสที่ผู้พูดเปิดโอกาสให้ถาม หรือยกมือขึ้นขออนุญาตหรือแสดงความประสงค์ในการซักถาม ถามด้วยถ้อยคำสุภาพ และไม่ถามนอกเรื่อง

4. มองสบตาผู้พูด ไม่มองออกนอกห้องหรือมองไปที่อื่น อันเป็นการแสดงว่าไม่สนใจเรื่องที่พูด และไม่เอาหนังสือไปอ่านขณะที่ฟัง หรือนำอาหารเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานระหว่างฟัง

5. ฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเองกับผู้พูด แสดงสีหน้าพอใจในการพูด ไม่มีแสดงกิริยาก้าวร้าว เบื่อหน่าย หรือลุกออกจากที่นั่งโดยไม่จำเป็นขณะฟัง

6. ฟังด้วยความสุขุม ไม่ควรก่อความรำคาญให้บุคคลอื่น ควรรักษามารยาทและสำรวมกิริยา ไม่หัวเราะเสียงดังหรือกระทืบเท้าแสดงความพอใจหรือเป่าปาก

7. ฟังด้วยความอดทนแม้จะมีความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้พูดก็ควรมีใจกว้างรับฟังอย่างสงบ

8. ไม่พูดสอดแทรกขณะที่ฟัง ควรฟังเรื่องให้จบก่อนแล้วค่อยซักถามหรือแสดงความคิดเห็น

9. ควรให้เกียรติวิทยากรด้วยการปรบมือ เมื่อมีการแนะนำตัวผู้พูด ภายหลังการแนะนำ และเมื่อวิทยากร พูด จบ

ทรัพยากรธรรมชาติ

ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งที่จำเป็นแก่มนุษย์ ซึ่งได้มีการนำทรัพยากรมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆมากมาย การที่มีการนำทรัพยากรไปใช้มากทำให้เกิดปัญหาตามมา การใช้ทรัพยากรอย่างผิดวิธี และการใช้อย่างสิ้นเปลือง อาจทำให้ทรัพยากรที่มีคุณค่าลดน้อยลงไปอย่างรวดเร็ว เราจึงควรีรู้จัก ประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึง วิธีอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
มีการแบ่งทรัพยากรธรรมชาติ ออกเป็นหมวดหมู่ คือ
1. ดิน

ดินเป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เกิดจากการสลายตัวผุพังของหินชนิดต่าง ๆ โดยใช้เวลาที่นานมาก
หินที่สลายตัวผุกร่อนนี้จะมีขนาดต่าง ๆ กัน เมื่อผสมรวมกับซากพืช ซากสัตว์ น้ำ อากาศ ก็กลายเป็นเนื้อดินซึ่งส่วน
ประกอบเหล่านี้จะมากน้อยแตกต่างกันไปตามชนิด
2. น้ำ

โลกของเราประกอบขึ้นด้วยพื้นดินและพื้นน้ำ โดยส่วนที่เป็นฝืนน้ำนั้น มีอยู่ประมาณ 3 ส่วน (75%) และเป็นพื้นดิน 1 ส่วน (25%) น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งกับชีวิตของพืชและสัตว์บนโลกรวมทั้งมนุษย์เราด้วย
น้ำเป็นทรัพยากรที่สามารถเกิดหมุนเวียนได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อแสงแดดส่องมาบนพื้นโลก น้ำจากทะเลและมหาสมุทรก็จะระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่เบื้องบนเนื่องจากไอน้ำมีความเบากว่าอากาศ เมื่อไอน้ำลอยสู่เบื้องบนแล้ว จะได้รับความเย็นและกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ ลอยจับตัวกันเป็นกลุ่มเฆม เมื่อจับตัวกันมากขึ้นและกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำตกลงสู่พื้นโลก น้ำบนพื้นโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้ำอีกเมื่อได้รับความร้อนจากดวงทิตย์ ไอน้ำจะรวมตัวกันเป็นเมฆและกลั่นตัวเป็นหยดน้ำกระบวนการเช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลา เรียกว่า วัฏจักรน้ำทำให้มีน้ำเกิดขึ้นบนผิวโลกอยู่สม่ำเสมอ



วัฏจักรของน้ำ





3. ป่าไม

คำจำกัดความเกี่ยวกับป่าไม้
ป่าไม้
- สังคมของต้นไม้และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อันมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งปกคลุมเนื้อที่กว้างใหญ่และใช้ประโยชน์จากอากาศ น้ำ วัตถุต่างๆ ในดิน เพื่อเติบโตจนถึงอายุขัยและเพื่อสัมพันธ์ของตนเอง ทั้งให้ผลผลิตและบริการที่จำเป็นอันจะขาดเสียมิได้ต่อมนุษย์ (แปลจากหนังสือ An Introduction to American Forestry)
- สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ประเภทรกร้างว่างเปล่า (ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองและสงวนป่า พ.ศ. 2481)
- ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎมายที่ดิน (ตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2481)





สภาพป่าไม้ที่ถูกทำลายเป็นทะเลทราย

4. แร่ธาตุ
ชนิดของแร่
แร่มีหลายชนิด จำแนกตามส่วนประกอบทางเคมี และทางกายภาพ โดยพิจารณาจากเนื้อความเหนียว ความวาว และการนำไปใช้เป็นโลหะ อโลหะ รัตนชาติ และแร่เชื้อเพลิง แต่ถ้าจำแนกแร่ตามประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แบ่งเป็นแร่ประกอบหิน และแร่เศรษฐกิจ หรือแร่ธาตุทางอุตสาหกรรม แร่ที่มีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมแบ่งออกเป็นแร่โลหะ และอโลหะ

รู้ทันอันตรายจากอาหาร

อันตรายจากอาหารปิ้งย่าง
สารก่อมะเร็ง"สำหรับอาหารปิ้ง ย่างนั้น เป็นการใช้ความร้อนผ่านเข้าสู่กล้ามเนื้อที่อยู่ในเนื้อแดงของเป็ด เนื้อวัว ไก่ หรืออาหารทะเล ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า Heterocycllc amlnes: HCAs และ Polycyclic aromatic hydrocarbnos: PAHs ซึ่งสารดังกล่าวสามารถทำลาย DNA ที่อยู่ในร่างกาย ทำให้มีผลกับการเกิดมะเร็งของลำไส้ใหญ่และกระเพาะ และสารเหล่านี้ก็ยังสามารถซึมผ่านกระแสเลือกเข้าไปสู่เนื้อเยื่ออื่น ๆ ได้อีกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบ หรือเป็นแฟนพันธุ์แท้ของอาหารปิ้ง ย่างนั้น ควรจะปรุงด้วยวิธีที่ปลอดภัย คือ ใช้อุณหภูมิที่ต่ำ ยกเนื้อสัตว์ที่ใช้ย่างให้สูงกว่าไฟเพิ่มขึ้น พยายามพลิกเนื้อบ่อยๆ ทาน้ำมันหรือเนยลงไปก่อนที่จะทำการย่าง เป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ อีกวิธีหนึ่ง คือ การเลือกนำเนื้อปลามาย่างแทนเนื้อหมู หรือเนื้อวัว

อันตรายจากอาหารกึ่งสำเร็จรูป
อันตรายจากอาหารกึ่งสำเร็จรูปในปัจจุบันนี้อาหารกึ่งสำเร็จรูปมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของคนในเมืองหลวงซึ่งไม่มีเวลาในการเตรียมอาหาร เนื่องจากการดำรงชีวิตที่ต้องแข่งกับเวลาทุกๆด้าน จึงมีอาหารจำพวกหนึ่งที่ผู้ผลิต ผลิตอาหารออกมาขายในรูปของอาหารที่เกือบจะสำเร็จเป็นอาหารที่ รับประทานได้ แต่ต้องนำอาหารเหล่านั้นไปปรุงอีก1 หรือ 2 ขั้นตอนก็จะได้อาหารปรุงสำเร็จรับประทานได้ทันที เช่นบะหมี่สำเร็จรูป ถ้าเรานำมาใส่ลงในน้ำร้อนก็จะได้บะหมี่น้ำ รับประทานได้เลยซึ่งเราเรียกอาหารจำพวกที่ต้องผ่านการปรุงต่ออีก1 หรือ 2 ขั้นตอนนี้ว่าอาหารกึ่งสำเร็จรูปได้แก่ บะหมี่สำเร็จรูป หมูยอ กุนเชียง แหนมข้าวเกรียบ ปลาป่น ผักดอง

และปลากระป๋องเป็นต้นพบว่ายังมีอันตรายที่ปะปนอยู่ในอาหารกึ่งสำเร็จรูปเหล่านี้หลายรูปแบบและแบ่งออกเป็น
1.จุลินทรีย์ปะปนอยู่ในอาหาร ได้แก่ พวกแบคทีเรีย ยีสต์ รา และ หนอนพยาธิ จุลินทรีย์เหล่านี้จะปะปนอยู่ในอาหารได้ทุกขั้นตอนของการผลิตและการบรรจุที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรืออาจเนื่องจากการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพต่ำ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ และบริเวณโรงงานไม่ถูกหลักสุขาภิบาล ถ้าคนงานสุขภาพไม่ดีก็อาจจะเป็นโรคติดต่อหรือเป็นพาหะนำโรคบางชนิดได้ด้วย
2.มีสารเคมีต่างๆปะปนในอาหาร อาจจะมีอยู่ในวัตถุดิบที่นำมาประกอบเป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูปเช่น ยาฆ่าแมลงหรือยาปราบศัตรูพืช
นอกจากนี้ยังมีสารเคมีที่ใส่ลงในอาหารเพื่อปรุงแต่ง สีกลิ่น รสของอาหารและเพื่อถนอมอาหาร สารเคมีเหล่านี้ไม่ใช่สารอาหารที่คนเราต้องการ แต่เป็นสารที่ร่างกายคนเราไม่ต้องการด้วย เมื่อบริโภคอาหารที่มีสารเคมีที่ร่างกายไม่ต้องการนี้ ก็เป็นการสะสมสารเคมีไว้ในร่างกายซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในวันข้างหน้าได้จุลินทรีย์ที่ปะปนอยู่ในอาหารมักเป็นต้นเหตุสำคัญทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ประชาชนเจ็บป่วยและตายเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ปะปนอยู่ในอาหารผู้บริโภคควรมีความรู้ดังต่อไปนี้
- จุลินทรีย์ที่พบในอาหารกึ่งสำเร็จรูปนั้น อาจจะปะปนลงในอาหารได้จากผู้ผลิตผู้ขายและสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค เช่น แมลงวันเป็นผู้นำมานอกจากนี้วิธีการบรรจุและภาชนะบรรจุอาหารกึ่งสำเร็จรูปชนิดที่นำไปปรุงเป็นอาหารโดยไม่ผ่านความร้อนเลย ควรจะเป็นภาชนะที่สะอาดปราศจากจุลินทรีย์และการบรรจุอาหารประเภทนี้ถูกความร้อนไม่ได้ควรจะบรรจุอาหารให้ มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฉีกแตกขึ้นระหว่างขนส่ง อันจะเป็นโอกาสให้จุลินทรีย์ปะปนลงในอาหารได้
- อาหารกึ่งสำเร็จรูปประเภทบรรจุกระป๋อง ที่วางขายอยู่ในตลาดทั่วไปนั้น อาจจะไม่ปลอดภัยแก่ผู้บริโภคเพราะผลจากการวิเคราะห์พบทั้งแบคทีเรียและรา ในอาหารหลายชนิด จึงควรจะมีการปรับปรุงหรือแก้ไขกระบวนการผลิตอาหารให้ถูกต้อง โดยเริ่มจากสุขลักษณะของโรงงานควรจะต้องถูกต้องตามมาตราฐานที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดไว้
- ควรมีการกำหนดมาตราฐานผลิตภัณฑ์อาหารทุกชนิด เพื่อยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์นั้นให้สูงขึ้น โดยที่ทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่ายจะต้องร่วมมือกันระมัดระวังเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยของผู้บริโภคให้มากขึ้น
- ผลิตภัณฑ์อาหารหมักต่าง ๆ เช่น นั้นควรจะทำให้สุกด้วยความร้อนก่อนบริโภค
- การผลิตน้ำผลไม้ควรควบคุมเรื่องความสะอาดของวัตถุดิบ เครื่องมือที่ใช้และภาชนะบรรจุให้ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและสาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ส่วนมากอาหารกึ่งสำเร็จรูปจำพวกบะหมี่มักจะเป็นถ้วยพลาสติกเมื่อถูกน้ำร้อนที่ใช้เพื่อลวกเส้นบะหมี่ จะมีสารเคมีบางชนิดออกมาผสมในอาหารเมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายเป็นจำนวนมากจะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

ประโยขน์และโทษจากช๊อกโกแลค

นักวิทยาสตร์เชื่อว่ามีสารชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในช็อคโกแลตจะทำให้เกิดความรัก...
ประโยชน์นอกเหนือไปจากเป็นของหวานยอดนิยมของสาวๆ แล้ว ช็อคโกแลตยังจัดเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของวันวาเลนไทน์แสนหวานในทุกๆ ปี ควบคู่ไปกับดอกกุหลาบสีสวย ทั้ง 2 อย่างต่างถูกนำมาใช้เป็นสื่อแทนความในใจของหนุ่มสาวทั่วโลก กระนั้น

ช็อคโกแลตก็นับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของสาวๆ ด้วยเหมือนกัน แม้ว่าจะวิจัยกันแล้วว่าของหวานประเภทนี้ไม่ใช่สาเหตุหลักในการเกิดสิวเสียหน่อย แต่ผู้หญิงจำนวนมากก็ยังเชื่อมั่นว่า

ช็อคโกแลต = ความอ้วนซึ่งเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาสำหรับสาวเชฟงามทั้งหลาย ทว่า เ

มื่อเร็วๆ นี้ก็มีผลการวิจัยอีกกระแสระบุว่า ช็อคโกแลตมีประโยชน์มากกว่าที่คิด

กล่าวก็คือในผงช็อคโกแลตดำและผงโกโก้ที่นำมาทำขนมนั้น จะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอล ตัวที่มีประโยชน์และทำให้คอเลสเตอรอลที่เป็นอันตรายลดการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนซึ่งแปลว่าจะช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด

ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าต้องบริโภคช็อคโกแลตเป็นประจำในปริมาณพอสมควรเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีการทดลองและวิจัยพบอีกว่า ผู้ที่ดื่มนมช็อคโกแลต เป็นประจำทุกวันนั้น ไม่มีปริมาณคอเลสเตอรอลที่เป็นอันตรายเพิ่มขึ้นทั้งที่บริโภคไขมัน (จากนม) เข้าไปเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ช็อคโกแลตยังอุดมไปด้วยสารเคมีที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสบายใจ สดชื่นและมีความสุข เช่น เซโรโทนินและเอนดอร์ฟิน ก็แปลว่าช็อคโกแลตมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าที่คาดไว้ ทีนี้ สาวๆ ที่เป็นช็อคโกแลต เลิฟเวอร์ส ทั้งหลายจะได้กินช็อคโกแลตกันอย่างสบายใจและสบายปากมากขึ้น โดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือกลัวอ้วนมากจนเกินเหตุเสียที

อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า ในช็อคโกแลตสำเร็จรูปที่วางขายกันทั่วไปนั้น มีการแต่งกลิ่นและสีรวมทั้งเพิ่มน้ำตาลเข้าไปไม่น้อยเพื่อให้ขนมมีรสหวานมากๆ และการรับประทานช็อคโกแลตจำนวนมากๆ บ่อยๆ ก็เท่ากับว่าเราได้รับน้ำตาลมากเกินควร ซึ่งทำให้เกิดโรคนานาชนิดได้เช่นกัน

ทางเลี่ยงก็คือลดปริมาณการทานลง เลือกรับประทานช็อคโกแลตแบบไม่หวาน หรืออาจดูที่ส่วนผสมว่ามีปริมาณน้ำตาลเกินสมควรหรือไม่


โทษ

ในอดีตนักเคมีเคยพบว่าช็อกโกแลตมี เฟนิลไธลามิน, ธีโอโบรไมน์ และกาเฟอีน ซึ่งสารเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ในช็อกโกแลตยังให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินเอ ดี เค และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง หากกินมากเกินไป อาจส่งปัญหาด้านสุขภาพทำให้เป็นโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น แถมรับประทานไปเยอะๆจะเกิดสิวกลางจมูกหลายคนสงสัยว่าจุด หรือสิวกลางจมูกคืออะไร คือการแพ้ช็อคโกแลตนั่นเองค่ะ+++

10 วิธีทำให้หายโกรธ

ทำอย่างไรจะหายโกรธความโกรธเป็นศัตรูที่คอยขัดขวางไม่ให้ความดีเกิดขึ้น คนบางคน เป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วก็ต้องทำอะไรรุนแรงออกไป ทำ ให้เกิดความเสียหาย ถ้าทำอะไรไม่ได้ ก็หงุดหงิดงุ่นง่านทรมานใจ ตัวเอง ในเวลานั้นเมตตาหลบหาย ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่ยอมปรากฏให้เห็น ส่วนความโกรธ ทั้งที่ไม่ต้องการแต่ก็ไม่ยอม หนีไป บางทีจนปัญญา ไม่รู้จะขับไล่หรือกำจัดให้หมดไปได้อย่างไรโบราณท่านรู้ใจและเห็นใจคนขี้โกรธ จึงพยายามช่วยเหลือ โดยสอนวิธีการต่างๆ สำหรับระงับความโกรธ วิธีการเหล่านี้มี ประโยชน์ไม่เฉพาะสำหรับคนมักโกรธเท่านั้น แต่เป็นคคิแก่ทุกคน ช่วยให้เห็นโทษของความโกรธ และมั่นในคุณของเมตตายิ่งขึ้น จึง ขอนำมาเสนอพิจารณากันดู วิธีเหล่านั้นท่านสอนไว้เป็นขั้นๆ ดังนี้
ขั้นที่ ๑ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธ

ขั้นที่ ๒ พิจารณาโทษของความโกรธ

ขั้นที่ ๓ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ

ขั้นที่ ๔ พิจารณาว่า ความโกรธ คือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง และ เป็นการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู

ขั้นที่ ๕ พิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน
ขั้นที่ ๖ พิจารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า (ข้อนี้ใครนับถือศาสนาอื่น จะพิจารณาดูก็ไม่เสียหาย)

ขั้นที่ ๗ พิจารณาความเคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏฏะ

ขั้นที่ ๘ พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา

ขั้นที่ ๙ พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ

ขั้นที่ ๑๐ ปฏิบัติทาน คือ การให้หรือแบ่งปันสิ่งของ

รู้ทันโรคหอบ หืด

รู้เท่าทัน.! ต้นตอโรคภูมิแพ้-หอบหืด-ปอดบวม
สารพัดเชื้อโรคในเครื่องปรับอากาศ ต้นตอโรคภูมิแพ้-หอบหืด-ปอดบวม เชื้อ!อันตรายจากเครื่องปรับอากาศและสิ่งใกล้ตัว หากใสใจ


นพ.ฉัตรชัย เอกปัญญาสกุล แพทย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) องครักษ์ กล่าวว่า ประเทศไทยร้อนขึ้น หลายๆ บ้านหันมาติดตั้งเครื่องปรับอากาศ แต่ไม่มีใครสนใจว่าเครื่องปรับอากาศนั้นแม้จะทำให้คลายร้อนลงได้ แต่ยังแฝงไปด้วยเชื้อโรคและมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา เช่น โรคภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ ปอดบวม ผู้ใช้เครื่องปรับอากาศควรจะสังเกตว่า เวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศถ้ามีกลิ่นอับชื้นที่มากับความเย็น กลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมาจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ ความชื้นจะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค


เมื่อสะสมมากๆ เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการระคายคอ และหากมีอาการป่วยรุนแรงมาก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ "ขอแนะนำให้ผู้ที่ใช้เครื่องปรับอากาศล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยดูตามความเหมาะสมจากสภาพแวดล้อมและการใช้งาน ด้วย


วิธีการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรงๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออก ในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ จะช่วยขจัดเอาฝุ่นละออง เชื้อโรคที่เกาะติดอยู่กับส่วนต่างๆ ของเครื่อง และที่ล่องลอยอยู่ในอากาศภายในห้องทิ้งออกไป ขณะเดียวกันผู้ใช้เครื่องปรับอากาศควรดูแลสุขภาพตนเองด้วยเช่น ถ้าอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานๆ ควรหลีกเลี่ยงการเข้าห้องปรับอากาศอย่างฉับพลัน หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น การสูบบุหรี่ การปรุงอาหาร ที่สำคัญควรดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศด้วย โดยกำจัดฝุ่น กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอน ขนสัตว์ และแมลงอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้" นพ.ฉัตรชัยกล่าว

การรักษาพยาบาลเบื้องต้น

การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ภายหลังได้รับการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย ในช่วง 24-72 ชั่วโมงแรก โดยอาศัยหลัก หยุด เย็น ยืด และยก ดังที่ได้อธิบายไว้ในหัวข้อเรื่อง หลักการรักษา แล้วนั้น ในบางกรณีที่ยังไม่ดีขึ้นมาก หรือกรณีที่เป็นรุนแรง ซึ่งสังเกตได้จากอาการปวด บวมที่รุนแรง หรือมีแผลฉีกขาดร่วมด้วย ควรที่จะได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ทันที เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป

สำหรับในหัวข้อเรื่องนี้ จะกล่าวถึงการรักษาทั่ว ๆไปตามอาการที่บาดเจ็บ ในกรณีที่แพทย์ตรวจแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติร้ายแรง แพทย์จะให้การรักษาโดยใช้หลักการเดิมต่อไป คือ

1. การให้หยุดพักการออกกำลังกาย หรืออาจหยุดพักงาน พักเรียน ถ้าหากการบาดเจ็บเกิดขึ้นบริเวณ แขน หรือขา ที่ต้องการให้ส่วนนั้นๆ ได้พัก นอกจากนี้ แพทย์อาจจะต้องจำกัดการเคลื่อนไหว ของส่วนนั้นๆ โดยการเข้าเฝือกให้ส่วนนั้น อยู่นิ่งๆ เพื่อหวังผลให้ลดอาการบวมอย่างรวดเร็วในเบื้องต้น

2. การใช้ความเย็น ใน 24-72 ชั่วโมงแรก อาจใช้การประคบด้วยน้ำแข็งโดยตรง หรือใช้ผ้าพันก้อนน้ำแข็ง หรืออุปกรณ์สำเร็จรูปที่แช่เย็นไว้แล้ว ประคบบริเวณที่บวม หรือปวด แต่ถ้าหากเลย 72 ชั่วโมง มาแล้ว แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ใช้ความร้อนแทน อาจโดยการประคบ การแช่น้ำอุ่นหรืออาจใช้บริการของหน่วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู หรือกายภาพบำบัด ที่จะใช้เครื่องมือที่ให้ความร้อนเกิดขึ้นในขั้นลึกๆ เช่น อัลตราซาวด์ เป็นต้น

3. การใช้ผ้ายืดพันส่วนที่บวม หรือฟกช้ำในเบื้องต้น แต่ถ้าหากพ้น 72 ชั่วโมง มาแล้วยังบวมอยู่ และเข้าเฝือกอยู่แล้วแพทย์อาจพิจารณาลดการเคลื่อนไหวต่อโดยการเข้าเฝือกต่อไป หรือถ้าไม่ จำเป็นต้องลดการเคลื่อนไหว แพทย์จะใช้ความร้อนมาช่วยเหมือนเช่นที่กล่าวไว้ในข้อ 2

4. การยกส่วนที่ได้รับบาดเจ็บให้สูงกว่าระดับหัวใจ ยังมีความจำเป็นอยู่ตลอดไป ถ้าหากมือหรือ เท้ายังบวมอยู่ภายหลังการใช้งาน ซึ่งแสดงว่าการไหลเวียนของเลือด กลับสู่หัวใจยังไม่เข้าสู่ระดับปกติ

การทำสมาธิ

การฝึกสมาธิเบื้องต้นสมาธิคือการที่มีใจตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแน่วแน่ กล่าวในภาษาชาวบ้านก็คือ การมีใจจดจ่ออยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านนั่นเอง การทำสมาธิแบบนี้ไม่ได้เน้นการเข้าถึงนิพพาน หรือความสิ้นไปของอาสวะ แต่ก็เป็นพื้นฐานที่ดีหากต้องการปฏิบัติต่อไปในขั้นสูง หากแต่มีประโยชน์ที่เห็นได้ทันทีก็ได้จากในชีวิตประจำวัน ทำให้เรามีจิตใจผ่องใส ประกอบกิจการงานได้ราบรื่นและคิดอะไรก็รวดเร็วทะลุปรุโปร่ง เพราะว่าระดับจิตใจได้ถูกฝึกมาให้มีความนิ่งดีแล้ว เมื่อมีความนิ่งเป็นสมาธิดีแล้ว ย่อมมีพลังแรงกว่าใจที่ไม่มีสมาธิ ดังนี้เมื่อจะคิดทำอะไร ก็จะทำได้ดี และได้เร็วกว่าคนปกติ ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกสมาธิมาก่อน วิธีการทำสมาธิที่ได้ผลและเป็นที่นิยม ได้ถูกนำมากล่าวแนะนำไว้ในที่นี้แล้ว เริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน และขั้นตอนต่างๆ

๑.การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกขณะอิริยาบถ ท่านพ่อลี (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) พระสายธุดงที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งแห่งภาคอีสาน ได้เคยให้คำอธิบายวิธีการทำสมาธิในชีวิตประจำวัน เวลาที่จะทำสมาธินั้นท่านได้อธิบายอย่างง่ายๆไว้ว่าทำได้ทั้งยืน เดิน นั่ง และนอน ในอิริยบททั้ง ๔ นี้เมื่อใดที่ใจเป็นสมาธิก็ถือว่าเป็นภาวนามัยกุศล ซึ่งถือเป็นกุศลกรรมสิทธิ์เฉพาะตัว ถือว่าได้บุญด้วยอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงพอสรุปจากคำแนะนำของท่านไว้ได้ดังนี้คือ การยืน ทำโดยยืนให้ตรง วางมือขวาทับมือซ้าย คว่ำมือทั้งสอง หลับตาหรือลืมตาสุดแท้แต่จะสะดวกในการทำ แล้วเพ่งไปที่คำว่า พุทโธ จนจิตตั้งมั่นได้ การเดิน เรียกว่าเดินจงกรม ให้กำหนดความสั้น ความยาว ของเส้นทางที่จะเดินสุดแท้แต่เราเอง ควรจะหาสถานที่ และเวลาที่เหมาะสม ไม่อึกทึกครึกโครม และไม่มีสิ่งรบกวนจากรอบข้าง นอกจากนั้นที่ที่จะเดินไม่ควรสูงๆ ต่ำๆ แต่ควรเรียบเสมอกัน เมื่อหาสถานที่และเวลาที่เหมาะสมได้แล้วก็ตั้งสติ อย่าเงยหน้าหรือก้มหน้านัก ให้สำรวมสายตาให้ทอดลงพอดี วางมือทั้งสองลงข้างหน้าทับกันเหมือนกับยืน การเดินแต่ละก้าวก็ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับคำบริกรรมว่า พุทโธ โดยเดินอย่างสำรวม ช้าๆ ไม่เร่งรีบ กำหนดรู้ในใจ การนั่ง คือนั่งให้สบาย แล้วเพ่งเอาจิตไปที่การบริกรรมคำว่า พุทโธ ท่องภาวนาไว้เป็นอารมณ์ให้กำหนดรู้อยู่ในใจ การนอน คือให้นอนตะแคงข้างขวา เอามือขวาวางรองศีรษะ ยืดมือซ้ายไปตามตัว ไม่นอนขด นอนคว่ำ หรือนอนหงาย แล้วก็สำรวมสติตั้งมั่นด้วยการภาวนาคำว่า พุทโธ ให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เช่นเดียวกัน

๒.ข้อแนะนำและการเตรียมตัวก่อนการทำสมาธิ
๒.๑ การหาเวลาที่เหมาะสม เช่นไม่ใช่เวลาใกล้เที่ยงเป็นต้นจะทำให้หิวข้าว หรือทำใกล้เวลาอาหาร และไม่ทานอิ่มเกินไปเพราะจะทำให้ง่วงนอน หรือเวลาที่คนในบ้านยังมีกิจกรรมอยู่ ยังไม่หลับเป็นต้น
๒.๒ การหาสถานที่ที่เหมาะสม ไม่ใช่ที่อึกทึก นอกจากได้สมาธิในขั้นต้นแล้ว และต้องการฝึกการเข้าสมาธิในที่อึกทึก
๒.๓ เสร็จจากธุระภาระกิจต่างๆ และกิจวัตรประจำวันแล้ว เช่นหลังจากอาบน้ำแล้ว ขับถ่ายเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้มีนัดหมายกับใครแล้วเป็นต้น
๒.๔ อยู่ในอาการที่สบาย คือการเลือกท่านั่งที่สบาย ท่าที่จะทำให้อยู่นิ่งๆ ได้นานโดยไม่ปวดเมื่อยและเกิดเหน็บชา อาจจะไม่ใช่การนั่งขัดสมาธิก็ได้ แต่การนั่งขัดสมาธิถ้าทำได้ถูกท่าและชินแล้ว จะเป็นท่าที่ทำให้นั่งได้นานที่สุด อย่างไรก็ตามไม่ควรอยู่ในท่าเอนหลังหรือนอน เพราะความง่วงจะเป็นอุปสรรค เมื่อร่างกายได้ขนานกับพื้นโลกจะทำให้ระบบของร่างกายพักการทำงานโดยอัตโนมัติ ทำให้ต้องใช้กำลังใจในการทำสมาธิมากกว่าการนั่ง
๒.๕ ไม่ควรนึกถึงผล หรือปรารถนาในลำดับชั้นของการนั่งในแต่ละครั้ง เช่นว่าจะต้องเห็นโน่นเห็นนี่ให้ได้ในคืนนี้เป็นต้น เพราะจะเป็นการสร้างความกดดันทางใจโดยไม่รู้ตัว และเกิดความกระวนกระวายทำให้ใจไม่เกิดสมาธิ ใจไม่นิ่ง ต้องทำใจให้ว่างมากที่สุด
๒.๖ ตั้งเป้าหมายในการนั่งแต่ละครั้ง เช่นตั้งใจว่าจะต้องนั่งให้ครบ ๑๕ นาทีก็ต้องทำให้ได้เป็นต้น และพยายามขยายเวลาให้นานออกไป เมื่อเริ่มฝึกไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้สมาธิได้สงบนิ่งได้นานยิ่งขึ้น ๒.๗ เมื่อได้เริ่มแล้วก็ให้ทำทุกวันจนเกิดความเคยชินเป็นนิสัยติดตัว เพราะว่าการทำสมาธิต้องอาศัยความเพียรในการฝึกฝน เพื่อให้เกิดความเคยชินและชำนาญ การที่นานๆทำสักครั้ง ก็เหมือนกับการมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

๓.การทำสมาธิโดยการนับเพื่อฝึกการควบคุมจิต การทำสมาธิโดยวิธีนี้นั้นมีหลักการนับอยู่หลายวิธี และแต่ละวิธีก็ล้วนแต่มีจุดหมายเดียวกันคือ เป็นอุบายหลอกล่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเป็นนายของจิต ควบคุมมันได้ วิธีนับแบบต่างๆพอกล่าวโดยย่อได้ดังต่อไปนี้คือ
๓.๑ นับโดยการบวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
๓.๒ นับลมแบบอรรถกถา
๓.๓ นับทวนขึ้นทวนลง
๓.๔ นับวน *

๓.๑ การนับโดยการบวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทีละหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น พอหายใจเข้าก็นับหนึ่ง พอหายใจออกก็นับสอง หายใจเข้าต่อไปก็นับสาม และหายใจออกต่อไปก็นับสี่ บวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆทีละหนึ่ง ตัวเลขที่นับมันก็จะไม่รู้จบ แต่ท่านอาจจะกำหนดตัวเลขจำนวนสูงสุดก็ได้ อาทิเช่นพอถึงหนึ่งร้อย ก็เริ่มนับหนึ่งใหม่เป็นต้น คงไม่ต้องยกตัวอย่าง วิธีนี้เป็นวิธีเริ่มต้นที่ง่าย และใช้สมาธิไม่มากนัก เพราะเหตุที่เราคุ้นเคยกับการนับในชีวิตประจำวันอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ เพียงแต่เอาการนับมาควบเข้ากับจังหวะการหายใจเข้า-ออก เพื่อให้มีจิตรู้ตัวอยู่เสมอนั่นเอง
๓.๒ การนับลมแบบอรรถกถา เป็นวิธีของท่านพระอรรถกถาจารย์ ที่ได้นำเอาตัวเลข มาเป็นเครื่องกำหนดร่วมกับการกำหนดลมหายใจ ตามหลักคำสอนของท่านพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากหนังสือพุทธธรรม ของพระราชวรมุนี หน้า (๘๖๕) หลักการนับแบบนี้ช่วยฝึกให้ใจมีสมาธิจดจ่อมากกว่าวิธีแรก วิธีนับมีสองแบบ แบบแรกให้นับเป็นคู่ คือเมื่อหายใจเข้า ก็ให้นับว่า ๑ เมื่อหายใจออกให้นับว่า ๑ พอเที่ยวต่อไปหายใจเข้าให้นับว่า ๒ หายใจออกก็ให้นับว่า ๒
สรุปก็คือลมหายใจเข้าและออกถือเป็นหนึ่งครั้ง จนถึงคู่ที่ ๕ ก็ให้ตั้งต้นมานับ ๑ ไปใหม่จนถึงเลข ๖ ก็ให้มาตั้งต้นนับ ๑ ไปจนถึง ๗ ถึง ๘ ถึง ๙ และ ๑๐ แล้วตั้งต้นนับ ๑ ไปจนถึง ๕ และนับต่อไปถึง ๑๐ อีก ลองศึกษาดูที่ตารางข้างล่างนี้เพื่อทำความเข้าใจอีกครั้ง แบบนับเป็นคู่พร้อมกับลมหายใจ เช่น (๑-๑) หนึ่งตัวแรกคือลมหายใจครั้งที่ ๑ หนึ่งตัวที่สองคือการนับ

การต้อนรับแขก

การต้อนรับแขก

จึงควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ คือ
1 ถ้านัดหมายกับแขกคนใดไว้ ต้องจำวันนัดให้ได้ พอจวนเวลานัด ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ใช่แขกมาแล้วรอเราแต่งตัว
2. มื่อแขกมาถึงบ้าน ควรเชื้อเชิญเข้าบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และให้ความเคารพตามควร
3. ดที่นั่งในที่อันควร จัดน้ำ บุหรี่ มารับรอง ถ้าแขกนั้นเป็นเพื่อนสนิท ต้องแนะนำให้รู้จักกับสามี หรือภรรยา หรือสมาชิกในครอบครัว แต่ถ้าไม่สนิทสนมและเป็นแขกมาธุระส่วนตัวก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำ
4. ชวนแขกคุย อย่าให้เหงา และแสดงความเห็นใจเมื่อแขกมาปรับทุกข์ด้วย ขณะสนทนาอยู่กับแขก ไม่ควรลุกเดินไปมาบ่อย ๆ หรือมองดูนาฬิกา ซึ่งเท่ากับเป็นการไม่ให้ ความสนใจแก่แขก และเป็นทำนองไล่แขกทางอ้อม คนที่มีมารยาทดีไม่ควรทำอาการรำคาญ หรือง่วงนอน ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยหรือง่วงก็ไม่ควรแสดง
5. เจ้าบ้านไม่ควร ตำหนิหรือด่าใครต่อหน้าแขก ควรจะพูดหลังเมื่อแขกกลับแล้ว
6. ถ้าห้องรับแขกมีวิทยุหรือโทรทัศน์ เวลาแขกกำลังสนทนาอยู่ไม่ควรให้ลูกหลานมาเปิดวิทยุฟัง หรือดูโทรทัศน์ที่ในห้องรับแขก
7. ถ้าแขกมาขอความช่วยเหลือ ถ้าพอช่วยได้ก็ช่วยไปตามควร ถ้าช่วยไม่ได้ก็แสดงความเห็นใจ ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์
8. เมื่อแขกกลับ เจ้าบ้านควรลุกออกไปส่งถึงประตูบ้าน พร้อมกับกล่าวแสดงความขอบคุณที่กรุณา มาเยี่ยม และกล่าวเชิญในโอกาสต่อไป
และในชีวิตการทำงาน การต้อนรับแขกหรือการไปเยี่ยมเยือนบริษัทอื่น ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาและเกิดขึ้นบ่อยๆแต่ก็แฝงไว้ด้วยธรรมเนียมปฏิบัติที่มองข้ามไม่ได้ เพราะมันสามารถมัดใจผู้ที่คุณติดต่อและนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างง่ายดายแต่เชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่ดูเหมือนง่ายๆ อย่างการต้อนรับแขก หรือการปฏิบัติตัวต่อแขกผู้มาเยือนนั้นกลับกลายเป็นปัญหาของหนุ่มๆ วัยทำงานหลายๆ คนไปอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะพวกมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานทั้งหลายทำให้การเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนั้นไม่ราบรื่นเท่าที่ควร และพลอยให้การทำงานร่วมกันเกิดความล่าช้าและติดขัดอย่างไม่น่าเชื่อ



การทักทาย

ถ้าหากคุณเป็นแขกไปเยี่ยมสำนักงานอื่น ควรปฏิบัติตัวอย่างสุภาพเช่นเดียวกับคุณไปเยี่ยมเยือนบ้านเพื่อนหรือในทางกลับกัน เมื่อคุณต้องต้อนรับผู้อื่นในออฟฟิศตนเอง ควรทำด้วยความมีอัธยาศัยเหมือนกับเป็นเจ้าของบ้านนั่นก็คือก็คือ ต้องแต่งตัวอย่างเหมาะสม ตรงเวลา และสุภาพ



เมื่อคุณเป็นแขก
ต้องตรงต่อเวลาทุกครั้ง (ในกรณีฉุกเฉินต้องโทรศัพท์ แจ้งผู้ที่เรานัดให้ทราบล่วงหน้า) ตามปกติ คนทำงานมักมีนัดหมายอื่นๆ อีก ดังนั้น ย่อมต้องการเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เมื่อไปถึงสถานที่ให้แสดงนามบัตร พร้อมแนะนำตัว ชื่อ และบริษัทที่ทำงานแก่พนักงานต้อนรับด้านหน้าพร้อมกับแจ้งความประสงค์ ถ้าหากผู้ที่ต้องการพบยังไม่ว่าง และพนักงานต้อนรับเชื้อเชิญคุณนั่งคุณอาจวางกระเป๋าเอกสารไว้บนพื้นหรือบนตัก แล้วอ่านหนังสือหรือจดโน๊ตรอก็ได้ ข้อสำคัญ จงอย่าไปยุ่มย่ามกับงานของพนักงานต้อนรับ หรือหยิบเอกสารผู้อื่นมาดู เมื่อได้เข้าไปพบกับบุคคลเป้าหมายแล้ว อย่าลืมทักทายด้วยการกล่าว "สวัสดี" ก่อน พร้อมทั้งแนะนำตัวด้วย ถ้าหากว่าพนักงานต้อนรับสักครู่ไม่ได้แนะนำไว้ ในกรณีกลับกัน หากคุณมีแขกมาเยือนถึงที่ทำงาน และมีโทรศัพท์ถึงคุณ คุณน่าจะต่อโทรศัพท์กลับทีหลังดีกว่า ทว่าถ้าเป็นเรื่องสำคัญ ก็ขอโทษและรีบสรุปการเจรจาโดยเร็ว เช่นเดียวกับเวลาที่คุณไปพบคนอื่นแล้วมีโทรศัพท์เข้าคุณควรเสนอตัวออกไปรอข้างนอกชั่วขณะ การเข้าพบใดๆ ไม่ควรอยู่นาน และขากลับอย่าลืมขอบคุณพนักงานต้อนรับด้วย



เมื่อคุณเป็นผู้ที่แขกต้องการพบ
ไม่ควรปล่อยให้เขารอนานเกินความจำเป็น แนะนำตนเองในกรณีที่เขายังไม่รู้จัก หรือหากคุณยังไม่พร้อมที่จะให้เข้าพบก็ควรเชิญไปที่ห้องรับแขก ซึ่งเพียบพร้อมด้วยหนังสือพิมพ์ วารสาร และที่เขี่ยบุหรี่ตามห้องรับแขกใหญ่ๆ ในต่างประเทศ จะไม่มีการเสิร์ฟเครื่องดื่ม ยกเว้นแต่จะมีเครื่องชงกาแฟ ทว่าในเมืองไทยผู้ที่มาเยือนมักได้รับการเสนอว่าต้องการเครื่องดื่มอะไร ชา กาแฟ หรือน้ำเย็น ผู้ทำหน้าที่เป็นเลขาฯหรือมีหน้าที่ในการคัดเลือกบุคคลภายนอกที่ต้องการพบพนักงานระดับสูงในบริษัทนั้นบางทีอาจพบว่าแขกที่มาไม่ได้เปิดเผยตนเอง ก็จงถามชื่อและประเภทธุรกิจของเขา หรือในกรณีที่เจ้านายยังวุ่นอยู่กับงานก็ควรนัดหมายเสียใหม่จะเหมาะสมกว่าหากเจ้านายไม่อยากพบหน้า คุณต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงอย่างมิให้เสียน้ำใจต่อผู้มาเยือนและภาพพจน์ของเจ้านาย เช่น คุณอาจแจ้งต่อเขาว่า ช่วงนี้เจ้านายคุณคิวเต็มเหยียด ทั้งเรื่องงานและกำหนดนัดหมายอื่นๆ ในกรณีที่แขกมาเยือนเยิ่นเย้อ จะมีผลกระทบต่อนัดหมายอื่นหรืองานประจำ เลขานุการ หรือพนักงานต้อนรับควรเคาะประตูเข้าไปบอก ว่าถึงเวลาอีกนัดหนึ่งแล้ว เท่ากับแจ้งเป็นนัยๆต่อแขกว่าถึงเวลาต้องกลับเสียที .




ปัญหาอันเนื่องมาจากแขกผู้มาเยือน จริงๆ แล้วโอกาสที่เกิดขึ้นคงไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นได้ เมื่อแขกไม่ได้ดังความประสงค์อาจเกิดอารมณ์โกรธและเอะอะขึ้น ถ้าบริษัทจ้างยามหรือหน่วยรักษาความปลอดภัย ก็จงแจ้งขอความช่วยเหลือจากเขา หรือหากไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คุณต้องร้องขอให้บุคคลที่ 3 มาร่วมในเหตุการณ์ เพื่อเป็นประจักษ์พยานป้องกันแขก มิให้นำเรื่องราวไปบิดเบือน จนกลายเป็นความเสื่อมเสียต่อทั้งคุณและบริษัท






การแนะนำตัว
การแนะนำตัวนั้น จะว่าง่ายก็ไม่เชิง จะว่ายากก็ไม่ใช่ กฏระเบียบทางสังคมเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้ เพื่อจะได้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง หน้าไม่แตก สิ่งสำคัญขิงการแนะนำตัว คือ ชื่อ ตำแหน่ง ยศ หรือข้อมูลใดๆ ที่สำคัญ อันเป็นการอธิบายบุคคลผู้ถูกแนะนำให้เป็นที่รู้จักกันได้ง่ายขึ้น
กฏง่ายๆ สำหรับการแนะนำตัว มีดังนี้
1 ควรแนะนำตนเองทันที เมื่อเห็นว่าผู้อื่นจำชื่อคุณไม่ได้
2. ใช้การแนะนำตัวว่า "สวัสดี" ในตอนพบปะและอำลา
3 เมื่อคุณต้องแนะนำผู้อื่นต่ออีกบุคคลหนึ่ง อย่าลืมว่าต้องเอ่ยถึงผู้ที่มียศศักดิ์ก่อน เช่น "ท่าน ผอ.ฉัตรชัย นี่คุณนวลเนียนพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ของบริษัทครับ"
4. แนะนำบุคคลระดับบริหารของบริษัทคุณ ต่อคนระดับบริหารเช่นกันของบริษัทอื่น เช่น คุณหนึ่ง
นี่คุณสอง ผอ.ฝ่ายขายของบริษัท.... คุณสอง นี่คุณหนึ่ง ผอ.ฝ่ายตลาดของบริษัท.......ครับ"



1. แนะนำพนักงานอาวุโสน้อยต่อพนักงานที่มีอาวุโสมากกว่า
2. แนะนำพนักงานของบริษัทต่อลูกค้า เช่น คุณสาม....นี่คุณห้า ผอ.ฝ่ายขายของบริษัท.....คุณห้า นี่คุณสาม จากบริษัท.........."
3. แนะนำฝ่ายชายต่อฝ่ายหญิง เมื่อทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานะเท่ากัน
ทั้งหมดนี้คือคำแนะนำ ที่น่าจะทำให้กับเยี่ยมเยือนและต้อนรับแขกของคุณมีความราบรื่นและดูดียิ่งขึ้นในสายตาของใครๆ มารยาทในสังคมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ รู้ไว้ไม่มีเสียหายมีแต่จะได้ประโยชน์

ข้อคิดดีๆๆ ก่อนนอน

คำแนะนำ โปรดเก็บหน้านี้ไว้เสมอในคอมพิวเตอร์ของคุณ หากวันไหนต้องการข้อคิดดีๆ ให้เปิดอ่าน อ่านบ่อยๆ ไม่เสียหาย (เสียค่าไฟนิดหน่อย) จะช่วยให้เรามีแนวทางดำเนินชีวิตได้อีกเยอะเลยครับ ..
เอ๊า เริ่มเลย...
- นึกเสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเรา 3 ชั่วโมง
- ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่
- หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง
- ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ
- เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ
- ควรหัดพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า “จะเอายังไง”
- สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ สามารถเล่าให้มันฟังได้นะ
- อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
- เขียนชื่อคนที่เธอเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
- ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้มา
- ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
- ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าสลับกันไปเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้น
- เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้รับ ดีกว่าคนที่ได้รับเยอะจนจำชื่อคนให้ไม่หมด
- ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกแล้วจะรู้สึกดีขึ้น
- แอบรักใครสักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่า “ความรัก” เป็นยังไง
- ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่
- พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม อาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่
- วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะทำนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายน่ะ
- รู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่บานอยู่กับต้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่าบานในแจกัน
- ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ
- เอารูปตัวเองตอนเด็กๆ มาดูตอนเครียด อารมณ์จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
- พยายามหาข้อบกพร่องของคนที่เธออิจฉา อย่างน้อยก็มีข้อปลอบใจตัวเองบ้าง
- โทรไปหาแฟนแล้วพูดแค่คำเดียวว่า “คิดถึง” พอวางสายแล้วต้องยิ้มทั้งคู่
- ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไร รอยยิ้มสามารถช่วยแก้สถานการณ์ได้
- ค่อยๆ เดินทอดน่องแบบสบายๆ ในวันที่ไม่มีธุระให้ต้องไปสะสาง
- ซื้อของฝากทุกคนในบ้าน ก็เหมือนกับการซื้อของฝากตัวเองนั่นแหละ
- จะหน้าตายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทิ้งขยะลงพื้น ก็กลายเป็นขี้เหร่ได้ทันตาเห็น
- นั่งสมาธิให้นานๆ และบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวสวยขึ้นได้เหมือนกัน
- นอกจากตอนที่เคี้ยวข้าวแล้ว ไม่ว่าก่อนหรือหลังกินก็หัวเราะได้อร่อย
- จินตนาการถึงเรื่องที่อยากมีหรืออยากเป็น คือยานอนหลับอย่างหนึ่ง
- อ่านหนังสือหรือการ์ตูนโปรดเป็นการเติมน้ำมันให้ตัวเองอย่างดี
- ยังไม่มีใครเคยแย้งว่า การอาบน้ำไม่สามารถคลายเครียดได้จริงๆ
- ก่อนจะด่าใครให้นับ 1 ถึง 50 เผลอๆ อาจจะไม่อยากด่าแล้วก็ได้
- ไม่ต้องทำยังไงกับเพื่อนที่หักหลัง ก็แต่อย่าเรียกเค้าว่าเพื่อนก็พอแล้ว
- รักครั้งแรกส่วนใหญ่ก็อกหักทั้งนั้น น่าจะดีใจที่ไม่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า
- การที่ทำของหายอาจเป็นการใช้หนี้จากชาติที่แล้วให้คนอื่นที่เก็บมันได้
- ถึงจะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าซักบาท ยังดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ตั้งเยอะ
- หนี้ที่โดนเบี้ยวไป ทำให้เรารู้จักใครบางคนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก
- คนอื่นไม่เข้าใจเราไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน
- ไม่ต้องช่วยใครๆ ด่าตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทำไปแน่ใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว
- วิ่งให้เหนื่อยมากๆ ความโกธรจะได้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ
- ถ้ากลัวจะนอนฝันร้าย สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนตอนเด็กๆ ดูสิ
- ของฝากสำหรับคนห่างไกล คือการโผล่ไปเซอร์ไพรส์ด้วยตัวเอง
- เพลงจังหวะมันๆ ทำให้คนฟังกระปรี้กระเปร่าได้โดยอัตโนมัติ
- อย่าเดาว่าอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ แล้วจะไม่รู้จักคำว่าผิดหวัง

ข้อคิดก่อนเลี้ยงสุนัข

สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์ เป็นเพื่อนที่ดีของมนุษย์ แต่ในการหาสุนัขมาเลี้ยงสักตัวก็มีสิ่งที่ต้องคิดคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ อย่างด้วยเช่น
1.ความรักและความพร้อมในการเลี้ยงดู สุนัขเป็นสิ่งมีชีวิตเป็นสัตว์ที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของค่อนข้างมาก ดังนั้นหากคิดจะเลี้ยงสุนัขสักตัวควรถามตนเองว่ามีความรักสุนัขมากน้อยแค่ไหน มีเวลาดูแลเอาใจใส่ เล่นกับสุนัขหรือไม่
2.สภาพบ้านที่อยู่อาศัย การเลี้ยงสุนัขควรคำนึงถึงที่อยู่อาศัยของตัวเรา บ้านที่เราอยู่มีลักษณะเช่นไร มีพื้นที่มากน้อยแค่ไหน เพราะสุนัขเป็นสัตว์ที่ต้องการพื้นที่ในการวิ่งเล่น ยิ่งสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ ต้องการการออกกำลังกายและพื้นที่มากขึ้น
3.สมาชิกในครอบครัว การคิดจะหาสุนัขมาเลี้ยงควรคำนึงถึงสมาชิกในครอบครัวว่าครอบครัวเรามีใครแพ้ขนสุนัขหรือไม่ มีเด็กเล็กหรือคนชราหรือเปล่าหากมีก็ไม่ควรเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ หรือสุนัขที่มีนิสัยดุ เพราะอาจเกิดอันตรายได้
4.สายพันธุ์ของสุนัขที่นำมาเลี้ยง การเลี้ยงสุนัขควรศึกษาสายพันธุ์ของสุนัขว่ามีนิสัยอย่างไร มีข้อดีข้อเสียเช่นไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร ต้องเลี้ยงและดูแลอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลและเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะสมกับตัวเรา
5.สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิตจิตใจ ที่เราต้องให้ความรักการดูแล การออกกำลังกาย ดังนั้นหากคิดจะเลี้ยงสุนัขสักตัวควรที่จะมีเวลาดูแลใส่ใจ ไม่ควรทิ้งขว้าง แกล้งหรือกักขังเขาไว้ตลอดเวลา เพราะสุนัขจะเกิดความเครียด และเกิดดุร้ายขึ้นได้

ประเพณีแต่งงานแปลก

หลังจากตามหามาหลายปี ในที่สุดคุณก็พบ “ใครคนที่ใช่” จนได้ ความรักกำลังสุกงอม บรรยากาศเต็มไปด้วยความโรแมนติค และชีวิตช่างสวยงาม จนกระทั่งถึงช่วงที่คุณใช้เวลาเพื่อวางแผนงานแต่งงานอันสมบูรณ์แบบ นั่นล่ะนรกถามหา เพราะคุณต้องทำงานแข่งกับเดดไลน์ ต้องพยายามทำให้ทุกคนพอใจ แถมยังต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี แต่ก่อนที่อาการเจ้าสาวสติแตกจะมาเยือน แม่สามีก็จะเข้ามายุ่มย่ามจนดูเหมือนการหนีตามกันไปจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่เอาน่า ผ่อนคลายลงสักนิดและลองอ่านประเพณีแต่งงานเหล่านี้จาก ทั่วโลกดูสักหน่อย แล้วบางทีคุณอาจจะพบว่าการวางแผนแต่งงานไม่ได้เครียดอย่างที่คิด


:: แม่สามีผู้น่ารัก (มั้ง)บางหมู่บ้านในแอฟริกา หญิงสูงอายุจะอยู่กับคู่สามี-ภรรยาข้าวใหม่ปลามันในห้องนอนระหว่างคืนแรกของ การแต่งงาน โดยในหมู่บ้านเหล่านี้ พวกเขาคาดกันว่าผู้หญิงจะต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้จนกระทั่งถึง คืนวันแต่ง หญิงสูงอายุจะเป็นคนคอยชี้แนะเจ้าสาวว่าต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ความสุขกับสามีของเธอ ถ้าเจ้าสาวดูจะมีประสบการณ์ในด้านนี้มาบ้าง หญิงสูงอายุก็สามารถไปโพนทะนาให้คนในหมู่บ้านฟังได้ว่า ที่จริงแล้ว เจ้าสาวไม่บริสุทธิ์และการแต่งงานก็จะถือเป็นโมฆะ ปกติแล้ว หญิงสูงอายุเหล่านี้มักจะเป็นคนในหมู่บ้าน แต่บางครั้งก็อาจเป็นแม่เจ้าสาว หรือแม้แต่แม่เจ้าบ่าวก็ได้


:: กลิ่นเธอช่างน่าอภิรมย์ระหว่างงานประเพณี “Blackening the Bride” ในสก็อตแลนด์ เพื่อนและครอบครัวของคู่แต่งงานจะลักพาตัวเจ้าสาวมาและละเลงเธอด้วยสิ่งที่เหม็น เหนียว และไม่น่าพิสมัยที่สุดเท่าที่พวกเขาจะหาได้ ว่ากันว่า ตามตัวของเจ้าสาวจะถูกอาบไปด้วยส่วนผสมของไข่ ซอสเหม็นนานาชนิด เนย เนยแข็ง ซอสแครนเบอร์รี่ ก๋วยเตี๋ยว ปลา เยลลี่ ไส้กรอก และแครอท โดยปกติแล้ว การละเลงนี้จะอยู่ที่กลุ่มเพื่อนๆ และครอบครัวว่าอยากให้เจ้าสาวออกมาเละแค่ไหน หลังจากเหม็นได้ที่แล้ว พวกเขาก็จะพาเธอตระเวณไปตามผับและบาร์ทั่วเมืองเพื่อให้ทุกคนได้ชื่นชม งานนี้ขอบอกว่าเจ้าบ่าวรอดตัว ขณะที่คู่หมั้นของเขาต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากทั่วร่างกาย ก่อนที่จะได้สวมชุดขาวสวยใสในวันแต่งงาน







:: ร่ำไห้เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขหลายๆ คนร้องไห้ในงานแต่งงาน และมีอีกหลายคนร้องไห้ระหว่างเตรียมจัดงานแต่ง แต่สำหรับเจ้าสาวและครอบครัวของชนชาติถู่เจียในจีน พวกเขาเต็มใจที่จะร้องไห้เพราะนี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประเพณี โดยช่วงหนึ่งเดือนก่อนแต่งงาน เจ้าสาวจะเริ่มปฏิบัติตามธรรมเนียมดังกล่าวและร้องไห้เป็นเวลาราวหนึ่งชั่วโมง สิบวันต่อมา แม่เจ้าสาวก็จะมาร่วมแจมด้วย แล้วจากนั้นอีกสิบวัน คุณยาย น้องสาว/พี่สาว และคุณป้า/น้า ก็จะพาเหรดกันมาสละน้ำตา ธรรมเนียมประเพณีนี้รู้จักกันในชื่อ “Crying Marriage Song” โดยเจ้าสาวจะร้องไห้คร่ำครวญด้วยโทนเสียงต่างๆ กัน และมีวัตถุประสงค์เพื่อฉลองช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านคราบน้ำตา แต่ดูท่าว่าสำหรับผู้ชายแล้ว พวกเขาน่าจะร้องไห้หลังแต่งงานซะมากกว่า








:: สูง คล้ำ และ เอ่อ มีราก?ในอินเดีย กล่าวกันว่า Manglik Dosh ( ผู้หญิงที่เกิดในช่วงที่พระอังคารและพระเสาร์อยู่ใต้ทิศเจ็ดนาฬิกา ) เป็นสาวต้องคำสาปและมีดวงกินสามี ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ดังกล่าว สาว Manglik Dosh จึงต้องแต่งงานกับต้นไม้ แจกัน หรือวัตถุอื่นๆ ก่อนที่จะเข้าพิธีกับเจ้าบ่าวตัวจริง นี่จะช่วยให้สามีของพวกเธอ แคล้วคลาดจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร มีข่าวลือว่านักแสดงสาวสวยชาวอินเดีย Aishwariya Rai แต่งงานกับต้นไม้ก่อนที่จะทำพิธีสมรสจริงกับดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง Abhishek Bachchan



:: ฟันปลาวาฬแลกกับการแต่งงานพ่อตาบางคนก็ช่างเรียกร้องมากเสียเหลือเกิน อย่างเช่นที่ฟิจิ นอกเหนือจากที่เจ้าบ่าวต้องสู่ขอเจ้าสาวจากพ่อตาแล้ว พวกเขายังต้องมีของขวัญไปให้แก่พ่อภรรยาในอนาคตอีกด้วย บอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่สินเดิม นาฬิกาหรูๆ หรือโทรทัศน์เครื่องใหม่ แต่เป็นฟันของปลาวาฬซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของสถานะและความมั่งคั่ง ถ้าคุณพ่อตาตกลงยกลูกสาวให้ เจ้าบ่าวก็จะต้องจัดงานเลี้ยงอาหารโอชาอย่างมโหฬารให้แก่ญาติๆ ฝ่ายหญิง จากนั้น ก่อนการแต่งงาน เจ้าสาวก็จะไปทำการสักเพื่อเพิ่มความสวยงาม สรุปแล้วพิธีการหมั้นจนถึงก่อนงานวันแต่งของชาวฟิจิ ประกอบไปด้วย ฝ่ายชายคุยกับพ่อฝ่ายหญิง เสร็จแล้วก็ไปหาฟันของปลาวาฬมามอบให้พ่อตาเป็นของขวัญ จากนั้น จัดงานเลี้ยงใหญ่ให้กับญาติเจ้าสาว ปิดท้ายด้วยการพา คู่ตุนาหงันไปร้านสักเพื่อเพิ่มความงดงามให้แก่เธอ








:: ห้ามเข้าห้องน้ำหลังแต่งงานในหมู่บ้านเล็กๆ ใกล้กับรัฐซาบาห์ทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว คู่แต่งงานใหม่ของชุมชน Tidong ถูกห้ามไม่ให้ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเวลา 72 ชั่วโมง โดยคู่สามี-ภรรยาจะได้รับอาหารเพียงเล็กน้อยและถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากครอบครัวและเพื่อนๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครโกงและแอบไป “แดนสุขาเงียบๆคนเดียว” ถ้าเกิดคู่รักละเมิดธรรมเนียมที่เก่าแก่นี้ เชื่อกันว่าพวกเขาจะต้องผจญกับโชคร้ายอย่างรุนแรง การแต่งงานจะประสบเคราะห์ หรือไม่งั้นลูกๆ ของพวกเขาก็จะเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก ก็ได้แต่หวังว่าพิธีกรรมจะไม่ยาวนานไปกว่านี้.....

ระบบเลขฐานและตรรกศาสตร์

ระบบเลข เป็นสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ที่แสดงถึงจำนวนต่าง ๆ ระบบเลขแต่ละระบบมีจำนวนตัวเลขที่ใช้เหมือนกับชื่อของระบบตัวเลขนั้น และมีฐานของจำนวนเลขตามชื่อของมัน เช่น เลขฐานสอง เลขฐานแปด เลขฐานสิบ เลขฐานสิบหก

ระบบเลขฐานสอง เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยตัวเลข 2 ตัว คือ 0 และ 1 ซึ่งเลข 0 กับ 1 เป็นเลขที่นิยมใช้กับคอมพิวเตอร์ในการประมวลผลการทำงาน การเก็บข้อมูล หรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับสถานะทางไฟฟ้า

ระบบเลขฐานแปด เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยเลข 8 ตัวคือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, รวมแปดตัว

ระบบเลขฐานสิบ เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยเลข 10 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, ซึ่งเลขฐาน 10 เป็นเลขฐานที่มนุษย์ทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่ายมากที่สุด เพราะว่าเป็นตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน

ระบบเลขฐานสิบหก เป็นเลขฐานที่ประกอบด้วยเลข 10 ตัวและตัวอักษร 6 ตัว คือตัวเลข 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, และตัวอักษรคือ A แทน 10, B แทน 11, C แทน 12, D แทน 13, E แทน 14, F แทน 15 ซึ่งรวมกันแล้วได้ 16 ตัว

การพัฒนาระบบสารสนเทศ

การพัฒนาระบบสารสนเทศ
ความจำเป็นในการพัฒนาระบบสารสนเทศ
1. การเปลี่ยนแปลงกระบวนการบริหารและการปฏิบัติงาน ระบบเดิมไม่สามารถให้ข้อมูลหรือทำงานได้ตามต้องการ มีการดำเนินงานหลายขึ้นตอน ยุ่งยากในการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาจัดทำข้อมูลสรุปสำหรับการติดตามการปฏิบัติงานโดยรวมขององค์การ จึงจำเป็นต้องพัฒนาหรือปรับปรุงระบบสารสนเทศที่สามารถช่วยให้ขั้นตอนการปฏิบัติงานภายในและกระบวนการบริหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในระบบสารสนเทศปัจจุบันล้าสมัย ค่าช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบมีราคาสูง จึงต้องรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานที่มีอยู่เดิม
3. การปรับองค์การและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
- ระบบที่ใช้งานอยู่ปัจจุบันมีขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อน ขนาดเอกสารอ้างอิงหรือเอกสารที่มีอยู่ไม่ได้มารตรฐาน ทำให้การปรับปรุงหรือแก้ไขทำได้ยาก
- ความต้องการปรับองค์การให้เหมาะสมเพื่อสามารตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
- ระบบปัจจุบันไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้
การพัฒนาระบบประกอบด้วย
1) กระบวนการทางธุรกิจ (Business Process) เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และขั้นตอนการดำเนินธุรกิจขององค์การ
- การปรับปรุงคุณภาพ
- การติดตามความล้มเหลวจากการดำเนินงาน
- การปรับค่าตอบแทนของพนักงานโดยใช้การปรับปรุงคุณภาพเป็นดัชนี
- การค้นหาและแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลว
2) บุคลากร (People)
3) วิธีการและเทคนิค (Methodology and Technique) การเลือกใช้วิธีการและเทคนิคที่เหมาะสมกับลักษณะของระบบเป็นสิ่งสำคัญ
4) เทคโนโลยี (Technology) เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบในการเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้มีความเหมาะสมกับลักษณะขอบเขตของระบบสารสนเทศแล ะงบประมาณที่กำหนด
5) งบประมาณ (Budget)
6) ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์การ (Infrastructure)
7) การบริหารโครงการ (Project Management)

ทีมงานพัฒนาระบบ
การพัฒนา IT เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบกระบวนการพัฒนาระบบหลายกลุ่ม โดยทั่วไปจะมีการทำงานเป็นทีมที่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และทักษะจากกลุ่มบุคคล
1) คณะกรรมการ (Steering Committee)
2) ผู้บริหารโครงการ (Project Manager)
3) ผู้บริหารหน่วยงานด้านสารสนเทศ (MIS Manager)
4) นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) ควรมีทักษะในด้านต่างๆ คือ
- ทักษะด้านเทคนิค
- ทักษะด้านการวิเคราะห์
- ทักษะดานการบริหารจัดการ
- ทักษะด้านการติดต่อสื่อสาร
5) ผู้ชำนาญการทางด้านเทคนิค
- ผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator : DBA)
- โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
6) ผู้ใช้และผู้จัดการทั่วไป (User and Manager) หลักในการพัฒนาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพ
1) คำนึงถึงเจ้าของและผู้ใช้ระบบ
2) เข้าถึงปัญหาให้ตรงจุด ซึ่งมีแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นระบบมีขั้นตอนดังนี้ - ศึกษาทำความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น
- รวบรวมและกำหนดความต้องการ
- หาวิธีการแก้ปัญหาหลายๆ วิธีและเลือกวิธีที่ดีที่สุด
- ออกแบบและทำการแก้ปัญหาตามวิธีที่เลือก
- สังเกตและประเมินผลกระทบจากวิธีแก้ปัญหาที่นำมาใช้ และปรับปรุงวิธีการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
3) กำหนดขั้นตอนหรือกิจกรรมในการพัฒนาระบบ
4) กำหนดมาตรฐานในการพัฒนาระบบ
5) ตระหนักว่าการพัฒนาระบบเป็นการลงทุนประเภทหนึ่ง
6) เตรียมความพร้อมหากจะต้องยกเลิกหรือทบทวนระบบสารสนเทศที่กำลังพัฒนา
7) แตกระบบสารสนเทศที่จะพัฒนาออกเป็นระบบย่อย
8) ออกแบบระบบให้สามารถรองรับต่อการขยายหรือการปรับเปลี่ยนในอนาคต

ขั้นตอนในการพัฒนาระบบสารสนเทศ
- การกำหนดและเลือกโครงการ (System Identification and Selection)
- การเริ่มต้นและวางแผนโครงการ (System Initiation and Planning)
- การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis)
- การออกแบบระบบ (System Design)
- การพัฒนาและติดตั้งระบบ (System Implementation)
- การบำรุงรักษาระบบ (System Maintenance)

การพัฒนาระบบมีรูปแบบต่างๆ
1. การพัฒนาระบบแบบน้ำตก (Waterfall Model) แต่ละขั้นตอนของการพัฒนาระบบจะเริ่มได้ก็ต่อเมื่อได้ทำขั้นตอนก่อนหน้านี้เสร็จเรียบร้อยและจะไม่ย้อนกลับไปทำขั้นตอนก่อนหน้านี้อีก
2. การพัฒนาระบบแบบน้ำตกที่ย้อนกลับขั้นตอนได้ (Adapted Waterfall ) เป็นรูปแบบการพัฒนาที่หากดำเนินการในขั้นตอนใดอยู่สามารถย้อนกลับไปขั้นตอนก่อนหน้านี้ได้เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดหรือ เพื่อต้องการความชัดเจน
3. การพัฒนาระบบอย่างรวดเร็ว (Rapid Application Development) เป็นรูปแบบการพัฒนาที่มีการทำซ้ำบางขั้นตอนจนกว่าขั้นตอนต่างๆ ของระบบที่สร้างจะได้รับการยอมรับ
4. การพัฒนาระบบในรูปแบบขดลวด (Evolutionary Model SDLC) เป็นการพัฒนาระบบแบบวนรอบเพื่อให้การพัฒนาระบบมีความรวดเร็วโดยการพัฒนาระบบจะเริ่มจากแกนกลาง ในรอบแรกของการพัฒนาจะได้ ระบบรุ่น(Version) แรกออกมาและจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในรุ่นที่สอง และดำเนินการแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้รุ่นที่สมบูรณ์
วงจรการพัฒนาระบบ
Phase 1 การกำหนดและเลือกสรรโครงการ (System Identification and Selection) ผลของการพิจารณาของคณะกรรมการอาจเป็นไปได้ดังนี้
- อนุมัติโครงการ
- ชะลอโครงการ
- ทบทวนโครงการ
- ไม่อนุมัติโครงการ

Phase 2 การเริ่มต้นและวางแผนโครงการ (System Initiation and Planning) จะเริ่มจัดทำโครงการ โดยจัดตั้งทีมงานพร้อมทั้งกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบ
- การศึกษาความเป็นไปได้
- การพิจารณาผลประโยชน์หรือผลตอบแทนที่จะได้รับจากโครงการ
- การพิจารณาค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนของโครงการ
- การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการพัฒนาระบบสารสนเทศ

Phase 3 การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในขั้นตอนนี้จะเกี่ยวกับการเก็บข้อมูล
- Fact-Finding Technique
- Joint Application Design (JAD)
- การสร้างต้นแบบ

Phase 4 การออกแบบระบบ (System Design) การออกแบบแบ่งเป็น 2 ส่วน
- การออกแบบเชิงตรรกะ (Logical Design)
- การออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design)

Phase 5 การดำเนินการระบบ (System Implementation) ซึ่งจะครอบคลุมกิจกรรมดังต่อไปนี้
- จัดซื้อหรือจัดหาฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Solfware)
- เขียนโปรแกรมโดยโปรแกรมเมอร์ (Coding)
- ทำการทดสอบ (Testing)
- การจัดทำเอกสารระบบ (Documentation)
- การถ่ายโอนระบบงาน (System Conversion)
- ฝึกอบรมผู้ใช้ระบบ (Training)
Phase 6 การบำรุงรักษาระบบ (System Maintenance)
เป็นขั้นตอนการดูและระบบเพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพในการทำงานโดยบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีหน้าที่ในส่วนนี้
การบำรุงรักษาระบบแบ่งได้ 4 ประเภท
- Corrective Maintenance เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดของระบบ
- Adaptive Maintenance เพื่อให้ระบบสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
- Perfective Maintenance เพื่อบำรุงรักษาระบบให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Preventive Maintenance เพื่อบำรุงรักษาระบบป้องกันข้อผิดพลาดที่จะเกิด
วิธีการพัฒนาระบบสารสนเทศ
1) การพัฒนาระบบงานแบบดั้งเดิม (Traditional SDLC Methodology) เป็นการพัฒนาระบบสารสนเทศตามวงจรการพัฒนาระบบที่มีขั้นตอนที่แน่นอน วิธีนี้เป็นวิธีเก่าแก่ที่สุดและนิยมเรียกย่อๆ ว่า SDLC
2) การสร้างต้นแบบ (Prototyping) เป็นการสร้างระบบต้นแบบขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้ทดลองใช้งานซึ่งนอกจากผู้ใช้จะได้แนวคิดเกี่ยวกับสารสนเทศที่ต้องการแล้วยังช่วยให้มองเห็นภาพของระบบที่จะพัฒนาได้ชัดเจนขึ้น
การพัฒนาระบบโดยใช้ตนแบบแบงออกเป็น 4 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 : ระบุความต้องการเบื้องต้นของผู้ใช้
ขั้นที่ 2 : พัฒนาต้นแบบเริ่มแรก
ขั้นที่ 3 : นำต้นแบบมาใช้
ขั้นที่ 4 : ปรับปรุงแก้ไขต้นแบบ
3) การพัฒนาระบบโดยผู้ใช้ (End-user Development)
4) การใช้บริการจากแหล่งภายนอก (Outsourcing) เนื่องจากองค์การไม่มีบุคลากรที่มีทักษะความชำนาญ การจ้างหน่วยงานหรือบริษัทภายนอกที่มีความชำนาญด้านนี้มาทำการพัฒนาระบบให้ ซึ่งการทำสัญญาจ้างให้หน่วยงานภายนอกมาทำงานเกี่ยวกับการดำเนินงานของฝ่ายคอมพิวเตอร์นี้เรียกว่า IT Outsourcing ในที่นี้จะเรียกสั้นๆ ว่า Outsourcing
5) การใช้ซอฟแวร์สำเร็จรูปประยุกต์ (Application Software Package) เป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนา เช่น ระบบงานเงินเดือน ระบบบัญชีลูกหนี้ หรือระบบควบคุมสินค้าคลคลัง หากซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสามารถสนองต่อความต้องการระบบงานขององค์การได้ องค์การก้ไม่จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นเอง เนื่องจากโปรแกรมสำเร็จรูปได้รับการออกแบบและผ่านการทดสอบแล้ว จึงช่วยลดค่าใช่จ่ายและเวลาในการพัฒนาระบบใหม่และยังช่วยให้การทดสอบ การติดตั้ง และการบำรุงรักษาระบบเป็นไปได้ง่ายขึ้น

การพัฒนาระบบแบบออบเจ็กต์ (Object-Oriented Methodology)
ประกอบด้วยกลุ่มของวัตถุ (Class of Objects) ซึ่งทำงานร่วมกัน มีการจัดกลุ่มของข้อมูลและพฤติกรรมหรือฟังก์ชันที่กระทำกับข้อมูลนั้นเป็นกลุ่มๆ ในรูปของออบเจ็กต์ เนื่องจากออบเจ็กต์มีคุณสมบัติในการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Reusability) การพัฒนาโปรแกรมแบบออบเจ็กต์จึงใช้เวลาในการพัฒนาน้อยกว่าวิธีอื่น

การพัฒนาระบบงานประยุกต์แบบรวดเร็ว (Rapid Application Development) เป็นขั้นตอนในการพัฒนาระบบที่ใช้ระยะเวลาในการพัฒนารวดเร็วกว่าและคุณภาพดีกว่าวิธีพัฒนาระบบงานแบบดั้งเดิม โดยมีการนำเครื่องมือซอฟต์แวร์มาช่วยในการพัฒนาระบบซึ่งมีขั้นตอนในการพัฒนาระบบอยู่ 4 ขั้นตอนคือ
1) การกำหนดความต้องการ
2) การออกแบบโดยผู้ใช้
3) การสร้างระบบ
4) การเปลี่ยนระบบหรือใช้ระบบ

ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาระบบสารสนเทศให้ประสบความสำเร็จ
1) การสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร
2) การกำหนดขอบเขตและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
3) ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ของทีมพัฒนาระบบ
4) การเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม
5) การบริหารโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาโปรแกรม

คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง แต่สามารถทำงาน ได้ตามชุดคำสั่ง ในโปรแกรมที่ป้อนเข้าสู่เครื่อง ซึ่งจะทำงานตามคำสั่งที่ละคำสั่ง โดยคำสั่งที่ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ จะต้องอยู่ในรูปแบบของภาษาเครื่อง ถ้าเขียนโปรแกรมด้วยภาษาอื่น ที่ไม่ใช่ภาษาเครื่องก็ต้องมีตัวแปลมาช่วยแปลคำสั่งเหล่านั้นให้เป็นภาษาเครื่อง ซึ่งตัวที่มาช่วยแปลนี้เรียกว่า ตัวแปลภาษา เช่น Compiler หรือ Interpreter
ในการเขียนโปรแกรมหรือพัฒนาโปรแกรมนั้น โปรแกรมเมอร์ หรือ ผู้เขียนโปรแกรม ต้องมี การเตรียมงาน เกี่ยวกับ การเขียนโปรแกรมอย่างเป็นขั้นตอน เรียกขั้นตอนเหล่านี้ว่า วงจรการพัฒนาโปรแกรม (Program Devenlopment Life Cycle:PDLC) ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนตามลำดับดังนี้
ขั้นวิเคราะห์ความต้องการ (Requirement Analysis and Feasibility Study)
ขั้นวางแผนแก้ไขปัญหา (Algorythm Design)
ขั้นดำเนินการเขียนโปรแกรม (Program Coding)
ขั้นทดสอบและแก้ไขโปรแกรม (Program Testing and Debugging)
ขั้นการเขียนเอกสารประกอบ (Documentation)
ขั้นบำรุงรักษาโปรแกรม (Program maintenance)

ภาพที่ 2.1 วงจรการพัฒนาโปรแกรม (Program Devenlopment Life Cycle:PDLC)
วิธีการทางคอมพิวเตอร์ เป็นขั้นตอนในการจัดทำโปรแกรม ที่ช่วยให้การเขียนโปรแกรม ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ตามความมุ่งหมาย เพราะแต่ละขั้นตอนจะช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบ การเรียบเรียงแนวคิดมีความชัดเจน ไม่สับสน และเกิดความง่ายต่อการเขียนและพัฒนาโปรแกรม แม้ว่าปัจจุบันจะมีวิธีการสมัยใหม่เกิดขึ้น เช่นแนวคิดการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ แต่วิธีการทางคอมพิวเตอร์ ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น และน่ากระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เริ่มต้นใหม่กับงานเขียนโปรแกรม เพราะช่วยให้แนวคิดของการพัฒนาโปรแกรม เป็นระเบียบไม่สับสน

ภาษาโปรแกรม

ลักษณะของภาษาโปรแกรม
ภาษาโปรแกรมแต่ละภาษาสามารถพิจารณาว่าเป็นเซตของข้อกำหนดอย่างเป็นทางการของวากยสัมพันธ์ ศัพท์ และความหมาย
ข้อกำหนดเหล่านี้มักรวมถึง:
ข้อมูล และโครงสร้างข้อมูล
คำสั่ง และลำดับการทำงาน
ปรัชญาในการออกแบบ
สถาปัตยกรรมของภาษา
ภาษาส่วนใหญ่ที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวาง หรือมีการใช้งานในระยะเวลาพอสมควร จะมีกลุ่มทำงานเพื่อสร้างมาตรฐาน ซึ่งมักจะมีการพบปะกันเป็นระยะๆ เพื่อสร้างและจัดพิมพ์นิยามอย่างเป็นทางการของภาษา รวมถึงการปรับปรุงเพิ่มเติมภาษาด้วย
ชนิดข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลภายในคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้น ภายในแล้วจะเก็บเป็นตัวเลขศูนย์และหนึ่ง (เลขฐานสอง) อย่างไรก็ตาม ข้อมูลมักถูกแทนสารสนเทศในชีวิตประจำวันเช่น ชื่อบุคคล เลขบัญชี หรือผลการวัด ดังนั้นข้อมูลแบบฐานสองจะถูกจัดการโดยภาษาโปรแกรม เพื่อทำให้รองรับการจัดเก็บข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้นเหล่านี้
ระบบที่ข้อมูลถูกจัดการภายในโปรแกรมเรียกว่าชนิดข้อมูลของภาษาโปรแกรม การออกแบบและศึกษาเกี่ยวกับชนิดข้อมูลเรียกว่าทฤษฎีชนิด ภาษาโปรแกรมสามารถจัดออกได้เป็นกลุ่มภาษาที่มี การจัดชนิดแบบสถิตย์ และภาษาที่มี การจัดชนิดแบบพลวัติ
โครงสร้างข้อมูล
โครงสร้างข้อมูล คือรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูล ที่เกิดจากการนำเอาตัวแปรประเภทต่าง ๆ กันมาประยุกต์รวมกันเพื่อให้ง่ายต่อการที่จะนำไปใช้ ในalgorithm ต่าง ๆ


การเขียนโปรแกรม
การเขียนโปรแกรม (programming) หรือ การเขียนโค้ด (coding) เป็นขั้นตอนการเขียน ทดสอบ และดูแลซอร์สโค้ดของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งซอร์สโค้ดนั้นจะเขียนด้วยภาษาโปรแกรม] ขั้นตอนการเขียนโปรแกรมต้องการความรู้ในหลายด้านด้วยกัน เกี่ยวกับโปรแกรมที่ต้องการจะเขียน และอัลกอริทึมที่จะใช้ ซึ่งในวิศวกรรมซอฟต์แวร์นั้น การเขียนโปรแกรมถือเป็นเพียงขั้นหนึ่งในวงจรชีวิตของการพัฒนาซอฟแวร์
การเขียนโปรแกรมจะได้มาซึ่งซอร์สโค้ดของโปรแกรมนั้นๆ โดยปกติแล้วจะอยู่ในรูปแบบของ plain text ซึ่งไม่สามารถนำไปใช้งานได้ จะต้องผ่านการคอมไพล์ตัวซอร์สโค้ดนั้นให้เป็นภาษาเครื่อง (Machine Language) เสียก่อนจึงจะได้เป็นโปรแกรมที่พร้อมใช้งาน
การเขียนโปรแกรมถือว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างศาสตร์ของ ศิลปะ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ วิศวกรรม เข้าด้วยกัน


รายการภาษาโปรแกรม
ภาษาเครื่อง (Machine Languages)
ภาษาระดับต่ำ (Low-level Languages)
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly)
ภาษาระดับสูง (High-level Languages)
ภาษาซี (C)
ภาษาซีพลัสพลัส (C++)
ภาษาซีชาร์ป (C#)
ภาษาปาสกาล (Pascal)
ภาษาเบสิก (BASIC)
ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN)
ภาษาจาวา (Java)
ภาษาโปรล็อก (Prolog)

จริยธรรมและความปลอดภัย

จริยธรรมและความปลอดภัย
เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นจริยธรรมที่เกี่ยวกับระบบสารสนเทศที่จำเป็นต้องพิจารณา รวมทั้งเรื่องความปลอดภัย ของระบบสารสนเทศการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หากไม่มีกรอบจริยธรรมกำกับไว้แล้ว สังคมย่อมจะเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาไม่สิ้นสุด รวมทั้งปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ด้วย ดังนั้นหน่วยงานที่ใช้ระบบสารสนเทศจึงจำเป็นต้องสร้างระบบความปลอดภัยเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว ประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรม
คำจำกัดความของจริยธรรมมีอยู่มากมาย เช่น “หลักของศีลธรรมใ นแต่ละวิชาชีพเฉพาะ”“มาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติในวิชาชีพที่ได้รับ” “ข้อตกลงกันในหมู่ประชาชนในการกระทำสิ่งที่ถูก และหลีกเลี่ยงการกระทำสิ่งที่ผิด” หรืออาจสรุปได้ว่า จริยธรรม (Ethics) หมายถึง หลักของความถูกและความผิดที่บุคคลใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ กรอบความคิดเรื่องจริยธรรม
หลักปรัชญาเกี่ยวกับจริยธรรม มีดังนี้ (Laudon & Laudon, 1999)R.O. Mason และคณะ ได้จำแนกประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศเป็น 4 ประเภทคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ความเป็นเจ้าของ (Property) และความสามารถในการเข้าถึงได้ (Accessibility) (O’Brien, 1999: 675; Turban, et al., 2001: 512)1) ประเด็นความเป็นส่วนตัว (Privacy) คือ การเก็บรวบรวม การเก็บรักษา และการเผยแพร่ ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับปัจเจกบุคคล2) ประเด็นความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ได้แก่ ความถูกต้องแม่นยำของการเก็บรวบรวมและวิธีการปฏิบัติกับข้อมูลสารสนเทศ3) ประเด็นของความเป็นเจ้าของ (Property) คือ กรรมสิทธิ์และมูลค่าของข้อมูลสารสนเทศ (ทรัพย์สินทางปัญญา)4) ประเด็นของความเข้าถึงได้ (Accessibility) คือ สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้และการจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ
การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว (Privacy)
ความเป็นส่วนตัวของบุคคลต้องได้ดุลกับความต้องการของสังคม
สิทธิของสาธารณชนอยู่เหนือสิทธิความเป็นส่วนตัวของปัจเจกชน การคุ้มครองทางทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยปัจเจกชน หรือนิติบุคคล ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ กฎหมายความลับทางการค้า และกฎหมายสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ (copyright) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หมายถึง สิทธิ์แต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น ซึ่งเป็นสิทธิ์ในการป้องกันการคัดลอกหรือทำซ้ำในงานเขียน งานศิลป์ หรืองานด้านศิลปะอื่น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวลิขสิทธิ์ทั่วไป มีอายุห้าสิบปีนับแต่งานได้สร้างสรรค์ขึ้น หรือนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีอายุเพียง 28 ปีสิทธิบัตร (patent) ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 หมายถึง หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุยี่สิบปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะคุ้มครองเพียง 17 ปี
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (Computer Crime)อาชญากรรมคอมพิวเตอร์อาศัยความรู้ในการใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น โดยสามารถทำให้เกิดความเสียหายด้านทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาลมากกว่าการปล้นธนาคารเสียอีก นอกจากนี้อาชญากรรมประเภทนี้ยากที่จะป้องกัน และบางครั้งผู้ได้รับความเสียหายอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเครื่องประกอบอาชญากรรม
เครื่องคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นเป้าหมายของอาชญากรรม
การเข้าถึงและการใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ถูกกฎหมาย
การเปลี่ยนแปลงและการทำลายข้อมูล
การขโมยข้อมูลข่าวสารและเครื่องมือ
การสแกมทางคอมพิวเตอร์ (computer-related scams)
การรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์การควบคุมที่มีประสิทธิผลจะทำให้ระบบสารสนเทศมีความปลอดภัยและยังช่วยลดข้อผิดพลาด การฉ้อฉล และการทำลายระบบสารสนเทศที่มีการเชื่อมโยงเป็นระบบอินเทอร์เน็ตด้วย ระบบการควบคุมที่สำคัญมี 3 ประการ คือ การควบคุมระบบสารสนเทศ การควบคุมกระบวนการทำงาน และการควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก (O’Brien, 1999: 656)
การควบคุมระบบสารสนเทศ (Information System Controls)
การควบคุมอินพุท
การควบคุมการประมวลผล
การควบฮาร์ดแวร์ (Hardware Controls)
การควบคุมซอฟท์แวร์ (Software Controls)
การควบคุมเอาท์พุท (Output Controls)
การควบคุมความจำสำรอง (Storage Controls)
การควบคุมกระบวนการทำงาน (Procedural Controls)
การมีการทำงานที่เป็นมาตรฐาน และมีคู่มือ
การอนุมัติเพื่อพัฒนาระบบ
แผนการป้องกันการเสียหาย
ระบบการตรวจสอบระบบสารสนเทศ (Auditing Information Systems)
การควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น (Facility Controls)
ความปลอดภัยทางเครือข่าย (Network Security)
การแปลงรหัส (Encryption)
กำแพงไฟ (Fire Walls)
การป้องกันทางกายภาพ (Physical Protection Controls)
การควบคุมด้านชีวภาพ (Biometric Control)
การควบคุมความล้มเหลวของระบบ (Computer Failure Controls)

การใช้งานโปรแกรม EXCEL

ฃโปรแกรมสำเร็จรูป Microsoft Excel
โปรแกรม Microsoft Excel เป็นโปรแกรมที่เหมาะกับงานทางด้าน การคำนวณ การตีตาราง การหาค่าสูตรต่าง ๆ ตลอดจนสามารถนำข้อมูล ไปสร้างเป็นกราฟ เพื่อแสดงแผนภูมิต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งถ้าเรามีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขใด ๆ โปรแกรมก็จะทำการคำนวณ สูตรที่เชื่อมโยงกับตัวเลขนั้น ๆ ให้โดยอัตโนมัติ
การเข้าสู่โปรแกรม Microsoft Excel
1. คลิ๊กที่ปุ่ม Start
2. เลื่อนขึ้นไปที่หัวข้อ Program
3. เลื่อนมาด้านขวา คลิ๊กที่โปรแกรม Microsoft Excel
ส่วนประกอบต่าง ๆ ของหน้าจอโปรแกรม Microsoft Excel
1. เมื่อเปิดโปรแกรมมาแล้ว จะเห็นว่าหน้าจอจะตีตารางเป็นช่อง ๆ เราเรียกว่า กระดาษทำการ Work Sheet
2. ด้านบนที่เห็นเป็นตัวอักษร A , B , C , D , E , …….. เป็นการแบ่งแนวตั้งเราเรียกว่า คอลัมน์ Column
3. ด้านซ้ายที่เห็นเป็นตัวเลข 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 , ………… เป็นการแบ่งแนวนอนเราเรียกว่า แถว Row
4. จุดตัดระหว่าง คอลัมน์ กับ แถว เราเรียกว่า เซลล์ Cell
5. ที่ Cell A1 จะมีกรอบสีดำเข้ม สามารถเลื่อนไปยัง Cell ต่าง ๆ ได้ เราเรียกว่า ตัวชี้ตำแหน่งเซลล์ ปัจจุบันที่ใช้งานอยู่ Cell Pointer
การเลื่อน Cell Pointer
1. ใช้เม้าส์คลิ๊กที่ เซลล์ ที่เราต้องการเลื่อน
2. ใช้ลูกศร สี่ทิศ ที่แป้นพิมพ์ในการเลื่อน
3. ใช้ปุ่ม Ctrl + Home เพื่อเลื่อนกลับมาที่ เซลล์ A1
4. ใช้ปุ่ม Ctrl + ลูกศร ขวา เพื่อเลื่อนมา คอลัมน์ ขวาสุด
5. ใช้ปุ่ม Ctrl + ลูกศร ลง เพื่อเลื่อนลงมาบรรทัดสุดท้าย
6. ใช้ปุ่ม Page Up หรือ Page Down เพื่อ เลื่อน ขึ้น หรือ ลง ทีละ 1 หน้าจอภาพ
การพิมพ์ข้อมูลลงใน Cell
1. เลื่อนเซลล์ ไปยังเซลล์ ที่ต้องการจะป้อนข้อมูล
2. พิมพ์ข้อมูลที่ต้องการ
3. กดปุ่ม Enter หรือ ใช้ลูกศร ที่แป้นพิมพ์เพื่อ เลื่อนไปทางขวา หรือ ขึ้น ลง ได้
การลบข้อมูลในเซลล์
1. เลื่อนเซลล์ ไปยังเซลล์ ที่ต้องการจะลบ
2. กดปุ่ม Delete ที่แป้นพิมพ์
การแก้ไขข้อมูล
1. เลื่อนเซลล์ ไปยังเซลล์ ที่ต้องการจะแก้ไขข้อมูล
2. กดปุ่ม F2 ที่แป้นพิมพ์
3. ทำการแก้ไขข้อมูล (สามารถใช้ลูกศร ซ้าย – ขวา ที่แป้นพิมพ์ในการเลื่อนเคอร์เซอร์ได้)
4. เสร็จการแก้ไขข้อมูล โดยการกดปุ่ม Enter
การย้ายข้อมูล (Move)
1. เลื่อนเซลล์ไปยังเซลล์ที่จะย้ายข้อมูล
2. นำเม้าส์มาแตะที่ขอบของ Cell Pointer เม้าส์จะเปลี่ยนจากรูป บวก ที่เป็นกาชาด มาเป็นลูกศร
3. กดปุ่มซ้ายของเม้าส์ ค้างไว้ เลื่อน เซลล์ได้เลย
การคัดลอกข้อมูล (Copy)
1. เลื่อนเซลล์ไปยังเซลล์ที่จะคัดลอกข้อมูล
2. นำเม้าส์มาแตะที่จุดสี่เหลี่ยมสีดำตรงมุมขวาล่างของ Cell Pointer เม้าส์จะเปลี่ยนเป็นเครื่องหมายบวก
สีดำ
3. กดปุ่มซ้ายของเม้าส์ค้างไว้ แล้วเลื่อนไปยังเซลล์ที่จะคัดลอกไปได้เลย
การปรับความกว้างของคอลัมน์
1. เลื่อนเม้าส์ไปชี้ที่เส้นแบ่งระหว่างคอลัมน์ (เม้าส์จะเปลี่ยนเป็นรูปลูกศรสีดำ ซ้าย – ขวา)
2. กดเม้าส์ค้างไว้ แล้วลากเม้าส์เพื่อปรับความกว้าง หรือจะดับเบิ้ลคลิ๊ก เพื่อให้เครื่อง
ปรับความกว้างอัตโนมัติ
การเขียนสูตรเพื่อทำการคำนวณในเอ็กเซล
1. คลิ๊กที่เซลล์ที่ต้องการจะคำนวณ
2. กดเครื่องหมาย เท่ากับ = เพื่อให้เอ็กเซลทราบว่า ช่องนี้ต้องการทำการคำนวณ
3. พิมพ์สูตรที่ต้องการคำนวณลงไป เช่น พิมพ์ว่า =D3*3% (D3 คือ เซลล์ที่เก็บตัวเลขที่เราจะดึงมาทำการคำนวณ)
4. เมื่อพิมพ์สูตรเสร็จแล้ว ให้กดปุ่ม Enter เครื่องจะทำการคำนวณคำตอบให้
การคัดลอกสูตร (Copy สูตร)
1. เลื่อนเซลล์ ไปยังเซลล์ที่จะคัดลอกสูตร
2. เลื่อนเม้าส์มาชี้ที่จุดสี่เหลี่ยมสีดำ ด้านล่างขวาของกรอบสีดำ เม้าส์จะเปลี่ยนเป็นเครื่องหมาย บวก สีดำ
3. กดปุ่ม ซ้าย ของเม้าส์ ค้างไว้ แล้วเลื่อนเม้าส์ลงมาเรื่อยจนครบทุกช่องที่จะก๊อปปี้
4. เมื่อปล่อยเม้าส์ เครื่องก็จะทำการคำนวณทุกช่องให้เอง
ถ้าทำการก๊อปปี้แล้วตัวเลขเกิดรางรถไฟขึ้นมา ############## ความหมายคือความกว้างไม่พอ
1. เลื่อนเม้าส์ไปที่เส้นแบ่งระหว่างคอลัมน์ ที่เราจะปรับด้านบน (เม้าส์จะเปลี่ยนเป็นรูป ลูกศรสีดำ
ซ้าย – ขวา)
2. ดับเบิ้ลคลิ๊ก เพื่อปรับความกว้างอัตโนมัติ
การคำนวณหายอดรวม
1. เลื่อนเซลล์ ไปยังเซลล์ที่ต้องการจะหายอดรวม
2. ด้านบน คลิ๊กที่ปุ่ม ซิกม่า (เป็นรูปตัว S )
3. จากนั้นที่เซลล์ จะมีคำสั่งให้ว่า =SUM(ตามด้วยกลุ่มเซลล์)
4. กดปุ่ม Enter เครื่องจะคำนวณหาคำตอบให้
การผสานเซลล์ให้เป็นช่องเดียวกัน จะใช้ในกรณีที่ต้องการให้ข้อความจัดกลางระหว่างคอลัมน์ หลาย ๆ คอลัมน์ เช่น ต้องการให้ชื่อบริษัท ในบรรทัดแรกอยู่ตรงกลางระหว่าง คอลัมน์ A ถึงคอลัมน์ F
วิธีการคือ
1. นำเม้าส์ไปวางที่เซลล์ A1 จากนั้นกดเม้าส์ค้างไว้ ลากมาทางขวาจนถึงคอลัมน์ F1
2. ด้านบน คลิ๊กที่ปุ่ม a เล็ก (ถ้าเลื่อนเม้าส์ไปวางไว้ จะมีคำว่า ผสานและจัดกึ่งกลาง)
3. เครื่องจะทำการผสานเซลล์ แล้วนำข้อความมาจัดกลางให้
การให้เครื่องใส่หมายเลขลำดับที่ต่อเนื่องกันไป เช่น ต้องการให้ลำดับที่เป็น 1 , 2 , 3 , 4 , ไปเรื่อย ๆ
1. คลิ๊กที่เซลล์ที่ต้องการจะเริ่มเลข 1
2. ใส่เครื่องหมายฟันเดียว ‘ ตรงแป้นพิมพ์อักษร ง ไม่ต้องยกแคร่ พิมพ์เลข 1 แล้วกด Enter
3. เลข 1 จะชิดด้านซ้าย เลื่อนเซลล์กลับมาที่เลข 1 ทำการก๊อปปี้ (เลื่อนเม้าส์ ชี้ ตรงจุดสี่เหลี่ยมสีดำตรงมุมล่างขวา เม้าส์จะเปลี่ยนรูปเป็นเครื่องหมาย บวก สีดำ กดเม้าส์ค้างไว้ แล้วลากเม้าส์ลงมาตามต้องการ พอปล่อยเม้าส์ เครื่องจะใส่ตัวเลขเรียงลำดับให้เอง)
การตีตาราง
1. ลากเม้าส์คลุมเซลล์ที่เราต้องการจะตีตาราง
2. ด้านบนที่แถบเครื่องมือบรรทัดที่สอง (แถบจัดรูปแบบ) นับจากด้านหลังปุ่มที่ 3 จะเป็นปุ่มเส้นขอบ ให้คลิ๊กที่ปุ่มสามเหลี่ยมเล็ก ๆ หลังปุ่มเส้นขอบ
3. เครื่องจะมีเส้นขอบให้เลือก ให้เลือกปุ่มที่อยู่ในบรรทัดที่ 3 ปุ่มที่ 2 เครื่องจะมีคำว่า เส้นขอบทั้งหมด
4. เครื่องจะตีตารางให้ คลิ๊กเม้าส์ที่เซลล์ไหนก็ได้ เพื่อยกเลิกแถบที่เราลากไว้
การ Save ข้อมูล จะแบ่งเป็น 2 กรณี
ถ้าเป็นการ Save ครั้งแรก หมายถึง เพิ่งพิมพ์งานใหม่
1. คลิ๊ก เมนู แฟ้ม
2. ลงมาคลิ๊กที่คำสั่ง บันทึกเป็น (Save As)
3. จะขึ้นหน้าต่าง Save As จากนั้นในช่องชื่อแฟ้ม เครื่องจะนำเอาบรรทัดแรกที่เราพิมพ์ มาเป็นชื่อแฟ้ม แต่ถ้าเราไม่เอาชื่อแฟ้มนั้นก็ ลบทิ้ง พิมพ์ชื่อแฟ้มที่ต้องการลงไปแล้ว คลิ๊กปุ่ม บันทึก
ถ้าเป็นการ Save งานเดิม หมายถึง เรียกขึ้นมาเพื่อแก้ไข แล้วจะ Save ที่เราแก้ไข
1. คลิ๊ก เมนู แฟ้ม
2. ลงมาคลิ๊กที่คำสั่ง บันทึก (Save)
3. ตรงนี้เครื่องจะไม่ขึ้นหน้าต่าง ใด ๆ เลย เครื่องจะทำการ Save ลงที่แฟ้มเดิมที่เราเรียกใช้อยู่ เพราะเครื่องทราบว่าจะ Save ที่แฟ้มใดอยู่แล้ว
การยกเลิกเส้นตารางบางส่วนที่เราตีไปแล้ว
1. นำเม้าส์มา ลาก ส่วนที่เราจะยกเลิกเส้นตาราง
2. นำเม้าส์มาวางอยู่ในแถบที่เราลาก
3. คลิ๊กปุ่มขวาของเม้าส์เพื่อเข้าวิธีลัด
4. เครื่องจะปรากฏคำสั่งต่าง ๆ ให้เราลงมาคลิ๊กที่คำสั่ง จัดรูปแบบเซลล์
5. เครื่องจะขึ้นหน้าต่าง จัดรูปแบบเซลล์ ด้านบน ให้คลิ๊กที่หัวข้อ เส้นขอบ
6. ในช่อง เส้น , ลักษณะ ด้านขวา ให้คลิ๊กที่คำว่า ไม่มี
7. ด้านซ้ายในช่อง เส้นขอบ ให้คลิ๊กเส้นที่เราต้องการจะเอาออก
8. ด้านล่างคลิ๊กที่ปุ่ม ตกลง
การเปลี่ยนตัวอักษร ขนาด ลักษณะตัวอักษร สี
1. นำเม้าส์มาลากยังเซลล์ที่ต้องการจะเปลี่ยน
2. ด้านบนที่แถบเครื่องมือบรรทัดที่ 2 (แถบจัดรูปแบบ)
3. ช่องที่ 1 ที่มีคำว่า Cordia New ช่องนี้คือแบบอักษร ถ้าเราจะเปลี่ยนแบบอักษร ให้คลิ๊กที่ปุ่มสามเหลี่ยมสีดำหลังคำว่า Cordia New จากนั้นเลือกตัวอักษรที่เราต้องการ โดยต้องเลือกตัวอักษรที่มีคำว่า New หรือ UPC อยู่หลังแบบอักษร เพราะแบบอักษรนี้จะใช้ได้กับภาษาไทย
4. ช่องที่ 2 ที่มีตัวเลขเป็น 14 ช่องนี้คือ ขนาดของตัวอักษร ถ้าเราจะเปลี่ยนก็ให้คลิ๊กที่ปุ่ม สามเหลี่ยมสีดำ หลังเลข 14 แล้วเลือกขนาดได้ตามใจชอบ
5. ช่องที่ 3 จะเป็นตัวอักษร B ถ้าเราคลิ๊กลงไปจะได้ตัวอักษร หนาขึ้น ถ้าไม่เอา ให้คลิ๊กซ้ำลงไป
6. ช่องที่ 4 จะเป็นตัวอักษร I จะเป็นการทำตัวเอียง
7. ช่องที่ 5 จะเป็นตัวอักษร U จะเป็นการทำตัวขีดเส้นใต้
8. ช่องสุดท้าย จะเป็นตัวอักษร A จะเป็นการเลือกสีตัวอักษร ให้คลิ๊กที่ปุ่มสามเหลี่ยมสีดำหลังตัว A จะมีสีต่าง ๆ ให้เลือก ถ้าเราไม่เอาสีนั้นแล้วให้คลิ๊กที่คำว่า อัตโนมัติ
9. ช่องที่อยู่หน้าปุ่ม A ที่เป็นรูปกระป๋องสี คือการใส่สีพื้น ให้คลิ๊กที่ปุ่มสามเหลี่ยมสีดำหลังกระป๋องสี จะมีสีพื้นต่าง ๆ ให้เลือก แต่ถ้าเราเลือกไปแล้วจะไม่เอาสีพื้น ให้คลิ๊กที่คำว่า ไม่เติม
10. เมื่อเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ให้นำเม้าส์คลิ๊กที่เซลล์ไหนก็ได้เพื่อยกเลิกแถบ
การคำนวณหาค่าต่าง ๆ
1. คลิ๊กที่เซลล์ที่เราจะเก็บคำตอบ
2. ด้านบนคลิ๊กที่ปุ่ม วางฟังก์ชั่น (อยู่ข้าง ๆ ปุ่มซิกม่าที่เป็นรูป fx)
3. เครื่องจะขึ้นหน้าต่าง วางฟังก์ชั่น
4. เลือกคำสั่งที่เราจะทำการคำนวณ
5. ด้านล่างคลิ๊กปุ่ม ตกลง
6. เครื่องจะขึ้นหน้าต่างเพื่อให้เราใส่กลุ่มเซลล์ที่เราต้องการจะทำการคำนวณ เช่น ถ้าเราต้องการหาค่าตั้งแต่ เซลล์ D3 ถึง เซลล์ D7 เราต้องพิมพ์ว่า D3:D7 ใช้เครื่องหมายคอลอนคั่น : จากนั้นด้านล่างคลิ๊กปุ่ม ตกลง เครื่องก็จะทำการคำนวณในเซลล์นั้นให้
คำสั่งที่ใช้ในการหาค่าต่าง ๆ
ต้องการหาค่าเฉลี่ย ใช้คำสั่ง AVERAGE
ต้องการหาค่าสูงสุด ใช้คำสั่ง MAX
ต้องการหาค่าต่ำสุด ใช้คำสั่ง MIN
ต้องการให้เครื่องตรวจสอบข้อมูล จริง กับ เท็จ ใช้คำสั่ง IF
ต้องการให้เครื่องเปลี่ยนเลขเป็นตัวอักษร ใช้คำสั่ง BAHTTEXT
การสร้างกราฟ (Graph) คือ การนำตัวเลข มาสร้างเป็นกราฟเพื่อสรุปเป็นแผนภูมิ
1. นำเม้าส์มาลากข้อมูลในแกน X เช่น ลากตั้งแต่เซลล์ B3 ถึง B7
2. นำเม้าส์มาลากข้อมูลในแกน Y เช่น ลากตั้งแต่เซลล์ D3 ถึง D7 ต้องกดปุ่ม Ctrl + ลากเม้าส์
3. ด้านบนที่แถบเครื่องมือที่ 1 ให้คลิ๊กปุ่ม ตัวช่วยสร้างแผนภูมิ (ที่เป็นรูปกราฟแท่ง)
4. เครื่องจะขึ้นหน้าต่าง ตัวช่วยสร้างแผนภูมิ ขั้น ที่ 1 จาก 4 – ชนิดแผนภูมิ
5. เครื่องจะถามทั้งหมด 4 ขั้นตอน ในขั้นตอนที่ 1 นี้เป็นการให้เราเลือกชนิดของกราฟที่เราต้องการสร้าง โดยด้านซ้าย คือ ชนิดของกราฟ มีทั้งกราฟ คอลัมน์ , กราฟแท่ง , กราฟเส้น , กราฟวงกลม เราก็คลิ๊ก ชนิดของกราฟที่เราต้องการลงไป ส่วนด้านขวาเป็นการเลือกแบบของกราฟ ว่าเราอยากได้กราฟแบบไหน เราก็คลิ๊กลงไป จากนั้น ด้านล่าง คลิ๊กที่ปุ่ม ถัดไป เพื่อไปสู่ขั้นตอนที่ 2
6. ในขั้นตอนที่ 2 เครื่องจะสร้างกราฟชนิดที่เราต้องการไว้ ตามที่เราลากข้อมูลแกน X และ Y ซึ่งในหน้าต่างขั้นที่ 2 นี้เราไม่ต้องทำอะไรเลย ให้ลงไปคลิ๊กที่ปุ่ม ถัดไป ด้านล่างได้เลย
7. ในหน้าต่างขั้นตอนที่ 3 นี้ จะเป็นการใส่สิ่งที่เครื่องไม่ได้ทำมาให้คือ
a. ด้านบนยังไม่มีคำอธิบายกราฟ วิธีใส่ก็คือ ด้านซ้ายให้คลิ๊กที่ช่อง ชื่อแผนภูมิ จะมีเคอร์เซอร์ เราก็พิมพ์ลงไป เช่น กราฟแสดงเงินเดือน (เมื่อพิมพ์เสร็จนั่งสักพัก เครื่องจะไปใส่ในกราฟด้านขวาให้เราเอง โดยไม่ต้องกดปุ่ม Enter)
b. ในกราฟแต่ละแท่งเครื่องยังไม่ได้บอกค่าว่าแต่ละแท่งมีค่าเท่าไหร่ วิธีการให้เครื่องแสดงค่าออกมาคือ ด้านบน ให้คลิ๊กที่หัวข้อ ป้ายชื่อข้อมูล และด้านซ้าย คลิ๊กที่ช่อง แสดงค่า
เสร็จแล้วด้านล่าง ให้คลิ๊กที่ปุ่ม ถัดไป เพื่อไปยังขั้นตอนที่ 4 ขั้นตอนสุดท้าย
8. ในขั้นตอนที่ 4 ให้คลิ๊กที่คำว่า เป็นแผ่นงานใหม่ แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม เสร็จสิ้น เครื่องก็จะสร้างกราฟเสร็จเรียบร้อยตามที่เราต้องการ
การตกแต่งกราฟ
1. ถ้าต้องการเปลี่ยนสีของแท่งกราฟ
a. คลิ๊กที่แท่งแรกของกราฟ (จะขึ้นจุดสี่เหลี่ยมสีดำ แต่จะขึ้นทุกแท่ง) ให้คลิ๊กที่แท่งแรกของกราฟอีกครั้งนึง (จะขึ้นจุดสี่เหลี่ยมสีดำ ที่แท่งแรกเท่านั้น)
b. ให้นำเม้าส์วางที่แท่งแรกเหมือนเดิม แล้ว ดับเบิ้ลคลิ๊ก
c. จะขึ้นหน้าต่าง จัดรูปแบบจุดข้อมูล
d. คลิ๊กที่ช่องตารางสีที่เราต้องการจะเปลี่ยน
e. ด้านล่างคลิ๊กที่ปุ่ม ตกลง
f. จากนั้น ก็เลื่อนเม้าส์ไปวางแท่งที่ 2 แล้วดับเบิ้ลคลิ๊กได้เลย เปลี่ยนสีจนครบ
2. ถ้าต้องการเปลี่ยนสีที่ด้านหลังของแท่ง
a. เลื่อนเม้าส์ไปวางที่ด้านหลังของแท่ง (จะมีคำขึ้นมาว่า ผนัง)
b. ดับเบิ้ลคลิ๊กสองที
c. จะขึ้นหน้าต่าง จัดรูปแบบจุดข้อมูล ตรงนี้ถ้าเราอยากได้ สีผสมของเครื่องให้คลิ๊กที่ปุ่ม เติมลักษณะพิเศษ จะขึ้นหน้าต่าง การเติมลักษณะพิเศษ ขึ้นมาอีกหน้าต่าง จากนั้น ให้คลิ๊กที่คำว่า สีที่กำหนดไว้ ด้านขวาจะมีช่อง สีที่กำหนดไว้ เพิ่มขึ้นมา ในแถบจะมีคำว่า ก่อนอาทิตย์ตก แล้วด้านล่างจะมีสีตัวอย่างว่า ก่อนอาทิตย์ตก มีแบบไหนบ้าง ถ้ายังไม่ถูกใจ ให้คลิ๊กที่ปุ่ม สามเหลี่ยมด้านหลัง จะมีชื่อสีสำเร็จรูปต่าง ๆ เราก็คลิ๊กไป แล้วด้านล่าง จะแสดงสีของชื่อนั้น ถ้าเราถูกใจ ด้านขวาให้คลิ๊กที่ปุ่ม ตกลง เครื่องจะกลับมาที่หน้าต่าง แรก ให้เราคลิ๊กปุ่ม ตกลงด้านล่างอีกทีเครื่องก็จะใส่สีของผนังที่เราเลือกไว้
d. ถ้าเราต้องการจะเปลี่ยนสีของฐานของแท่ง ก็ทำเหมือนกัน คือ ให้เม้าส์ชี้ที่ด้านล่างระหว่างแท่ง เครื่องจะขึ้นคำว่า พื้น จากนั้นก็ดับเบิ้ลคลิ๊กทำตามขั้นตอนด้านบนอีกที
3. ถ้าต้องการเปลี่ยนสีด้านนอกของกราฟ
a. ให้เลื่อนเม้าส์ไปวางตรงมุมบนขวาภายนอกของกราฟ จะขึ้นคำว่า พื้นที่แผนภูมิ
b. ดับเบิ้ลคลิ๊กสองที จะขึ้นหน้าต่าง จัดรูปแบบพื้นที่แผนภูมิ
c. ลงมาคลิ๊กที่ปุ่ม เติมลักษณะพิเศษ จะขึ้นหน้าต่างซ้อนขึ้นมา ชื่อว่า เติมลักษณะพิเศษ
d. ด้านบน คลิ๊กที่หัวข้อ พื้นผิว เครื่องจะขึ้นพื้นผิวต่าง ๆ ให้เราเลือก เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ให้คลิ๊กที่ปุ่ม ตกลงด้านขวามือ เครื่องจะกลับมาที่หน้าต่างแรก ด้านล่างให้คลิ๊กที่ปุ่ม ตกลงอีกที
เอกสารอ้างอิง
หาข้อเพิ่มเติมได้ที่
http://www.oho888.com