ขอโทษประเทศไทย

จำนวนผู้เข้าชม

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฝึกคิดแง่บวก

ฝึกคิดแง่บวก
พลังความคิดมีจริง แถมยังส่งผลต่อการสุขภาพและจิตใจเราด้วย อย่างนี้ แล้วความคิดจึงสำคัญอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าสามารถกำหนด
ชีวิตนิสัย และอารมณ์ดีๆ ของเราได้เลย
การมองโลกในแง่ดีมีแต่จะเกิดเรื่องดีๆ กับเรา เพราะทัศนคติเช่นนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันทางใจให้เรา เป็นคนเข้มแข็ง
ไม่เครียดวิตกกับอะไรง่ายๆ มีกำลังใจในการใช้ชีวิต และยังเคารพตัวเองด้วย
จริงๆ แล้วการมองโลกในแง่ร้ายเกิดจากสัญชาตญาณความกลัวนี้เอง เพราะเรากลัวเราจึงต่อต้าน เพื่อป้องกันตัวเองไว้ก่อน และเมื่อฝังลึกเข้าเราจึงกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุข คิดแต่จะจับผิด คิดร้าย และเครียดบ่อยๆ ทั้งที่ ไม่จำเป็นเลย การเปิดใจต่างหากที่ทำให้เราเป็นอิสระ มีเพื่อนฝูงมากมาย รู้จัก เคารพและให้ความสำคัญกับความ
รู้สึกตัวเอง และที่แน่ๆ เรายังมีจิตใจดีและมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าใครๆ อีกด้วย
การที่เราฝึกซ้ำๆ บ่อยๆ สามารถช่วยได้มากกับการเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเอง ลองนำไอเดียเหล่านี้ติดตัวไว้ดูสิ
เผื่อว่าคุณจะเกิดประกายความคิดดีๆ กับตัวเองตั้งแต่นาทีนี้...

พลังบวก
ความคิดในด้านบวกมีพลัง ทั้งพลังความสุข ความสงบ และยังนำแต่สิ่งดีๆ มาให้คุณอีกต่างหาก

คลื่นความคิด
ความคิดเป็นคลื่นที่ส่งไปได้ไกล ความคิดร้ายๆ จึงสามารถส่งถึงกันได้ ทำให้คุณกลายเป็นคนบุคลิกภาพไม่น่าสนใจ แต่ความคิดบวกๆ กลับทำให้คุณเป็นคนน่าเข้าหา น่าใกล้ชิด

ลดเครียด
คิดบวกเมื่อไหร่ ความเครียดจะหายไปทันที นอกจากนี้ยังเป็นการจัดการอารมณ์ด้านลบได้อีกหลายอย่าง

สุุขภาพดี
การมีสุขภาพจิตดีนั้นเป็นเรื่องแน่นอน แตนอกจากนี้่ยังได้สุขภาพที่แข็งแรง และยังมีภูมิคุ้มกันโรคด้วย
ทั้งนี้เป็นเพราะจุดตั้งต้นจากความคิดเท่านั้น

อายุยืน
นอกจากสุขภาพดีๆ ผลวิจัยยังบอกด้วยว่า คนที่คิดในแง่บวกจะมีอายุยืนกว่ามาก และยังมีคุณภาพชีวิต
ที่ดีในระยะยาวอีกด้วย

วิธีรักษ์โลก

เรื่องราวเกี่ยวกับมลภาวะบนโลก ได้รับความสนใจจากหลากหลายฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งมีหลายหน่วยงานจัดตั้งเพื่อรณรงค์ เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนหันมาใส่ใจ ตระหนักและช่วยกันแก้ไขปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ทั้งเรื่องขยะล้นโลก น้ำเสีย สัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์ รวมถึงโลกร้อนที่กลายมาเป็นเรื่อง Talk of The Town กันในตอนนี้
เรามาดูกันว่า วิธีที่จะรักษาโลกใบนี้ให้หน้าอยู่ โดยการเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเรา ทำได้อย่างไร
ลดปริมาณขยะ
1. โดยการทิ้งขยะให้เป็นที่
2. นำถุงพลาสติกที่ยังไม่มีการปนเปื้อนที่ได้มาจากร้านค้ามาใช้ใหม่
3. ลดการใช้โฟม เพราะโฟมไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
ลดการใช้พลังงาน
4. ลดการใช้พลังงานน้ำมัน โดยสารรถประจำทาง หรือรถไฟฟ้าในเมืองใหญ่
5. ลดการใช้ไฟฟ้า เปิดไฟเท่าที่จำเป็น ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ในออฟฟิสบางแห่ง ได้ปิดไฟในช่วงเวลาพักเที่ยง เพื่อประหยัดพลังงาน
6. ดูรายการโทรทัศน์รายการเดียวกันในครอบครัว วิธีนี้จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เพิ่มอ๊อกซิเจนให้กับน้ำ
7. อย่าทิ้งขยะลงในแม่น้ำ
8. พบเห็นโรงงานปล่อยของเสียลงในแม่น้ำ ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ให้ทราบ เพื่อจะได้ดำเนินการเอาผิดกับโรงงานนั้น ๆ ต่อไป
รักษาพันธุ์สัตว์ป่า
9. อย่าซื้อ ขาย สัตว์ป่า
10. สอดส่องผู้ที่กระทำผิด และทารุณสัตว์ป่า


ช่วงนี้กำลังเป็นประเด็นยอดนิยม คือ เรื่องโลกร้อน ฟังดูเหมือนไกลตัว แต่ช่วงนี้อากาศร้อนจริงๆ เริ่มชักไม่ค่อยไกลตัวสักเท่าไรแล้ว สื่อหลายประเภทพูดถึงวิธีต่างๆ ที่จะช่วยบรรเทาอาการป่วยของโลก ทำอย่างไรให้อากาศไม่แปรปรวน เช่น การใช้กระเป๋าผ้าแทนถุงพลาสติก ถ้าจะให้ดีควรจะดูที่ต้นเหตุ มนุษย์อย่างพวกเราเองที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุของปัญหา แต่จะจริงหรือไม่ ยังไม่แน่ใจ ถ้ามัวแต่รอหาคำตอบว่าใครกันแน่เป็นตัวการทำลายสภาพแวดล้อม มนูษย์หรือธรรมชาติเอง คงต้องมีคนเป็นมะเร็วผิวหนังกันเพิ่มมากขึ้นอีกเยอะ ทางที่ดีเราควรจะช่วยกันสำรวจตัวเองว่าอยากเป็นพวกบ่อนทำลาย หรือ เป็นฝ่ายช่วยบรรเทาโลกของเรา ลองดูกันว่าเรามีวิธีอะไรที่พอจะทำได้ โดยอาจจะไม่สามารถทำได้หมดพร้อมๆ กันทุกข้อ พยายามเริ่มจากหนึ่งข้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าโลกของเราน่าจะดีขึ้น
การที่จะทำให้ชุมชนที่เราอาศัยอยู่มีความเขียวขจีและร่มรื่นด้วยการปลูกต้นไม้เพิ่มมากขึ้นนั้นง่ายนิดเดียว โดยเริ่มจากการแบ่งปันสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว บ้านไหนที่ปลูกต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับหลายชนิด ลองแบ่งปันเมล็ดพันธุ์ และ กิ่งพันธุ์ุ ให้กับเพื่อนบ้างของเราได้นำไปปลูกต่อ วิธีนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยทำให้เกิดความร่มเย็นได้เร็วขึ้น และยังเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้านด้วย โลกร้อนก็มีข้อดีเหมือนกันทำให้เราได้พูดคุยกับเพื่อนบ้านมากขึ้น


วิถีชีวิตของครอบครัวสมัยใหม่ที่พึ่งมีลูกน้อยต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลา และต้องการความสะดวกสบาย พ่อแม่สมัยใหม่จึงนิยมใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปกับลูกน้อย แม้ครอบครัวส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยสะดวก ที่จะใช้ผ้าอ้อมที่เป็นผ้าได้ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ผ้าอ้อมทีเป็นผ้าบ้าง เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่กับบ้าน หรืออย่างน้อยในช่วงสุดสัปดาห์ลองใช้ผ้าอ้อมที่เป็นผ้าแทนการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปตลอดเวลา จะช่วยลดขยะ และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย

ผ้าเช็ดหน้าทำจากผ้า
ส่วนมากเรามักคุ้นเคยการใช้ผ้าเช็ดหน้าสมัยเด็กมากกว่า พอเมื่อเราโตขึ้นผ้าเช็ดหน้าก็หมดความหมายกับเราลงไปเรื่อยๆ สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือการใช้กระดาษเช็ดหน้าหรือเช็ดปาก(paper napkin) ผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าลายน่ารัก ราคาไม่แพงมีมากมาย ลองหามาใช้เพื่อย้อนความรู้สึกเป็นวัยเด็กอีกครั้งก็ดีเหมือนกัน นอกจะช่วยลดปริมาณการนำเยื่อไม้มาทำกระดาษแล้ว ช่วยลดปริมาณขยะ ประหยัดค่าใช้จ่าย และยังเพิ่มเสน่ห์ให้กับสาวๆด้วย เมื่อทำผ้าเช็ดหน้าตกอาจมีหนุ่มมาเก็บผ้าเช็ดหน้าให้ แต่ถ้าเป็นกระดาษเช็ดหน้าหล่นคงมีแต่คนเหยียบซ้ำ

ผ้าเช็ดปาก
บางครั้งเรามักมองข้ามสิ่งเล็กน้อย และเห็นว่าไม่ใช้เรื่องของเรา ถ้าเราออกไปข้างนอกและเห็นไฟตามท้องถนนติดอยู่ตอนกลางวัน คนส่วนใหญ่มักไม่สนใจเพราะถือว่าธุระไม่ใช่ นับแต่นี้ต่อไปลองคิดใหม่ถ้าเราเห็นไฟสาธารณะตามท้องถนนติดอยู่ในช่วงกลางวัน ลองช่วยกันโทร.แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รีบแก้ไข ส่วนภูมิภาคติดต่อ กฟผ.1129 และ ส่วนนครหลวง กฟน.1130 การที่เราปล่อยให้ไฟส่องสว่างตามท้องถนนติดในเวลาที่ไม่เหมาะสมนั้นเท่ากับเราปล่อยให้มันเผาไหม้พลังงาน ทำให้อายุการใช้งานหลอดไฟสั้นลง และผลาญเงินของเราไปอย่างเปล่าประโยชน์ ถ้ามัวแต่นิ่งเฉยเราจะเห็นท้องถนนหลายแห่งไม่มีไฟส่องสว่างยามค่ำคืน สิ่งที่ตามมาคือ อุบัติเหตุ และ อาชญากรรม
วิธีต่างๆที่เรารู้กันอยู่แล้ว รวมทั้งวิธีด้านบนนี้จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราเกี่ยงกันว่าให้คนอื่นเริ่มก่อน คนอื่นยังไม่เริ่มเลยแล้วเราจะเริ่มทำไม ถูกต้องการลงมือทำเพียงคนเดียวไม่เห็นผลแน่ ลองลงมือทำไปเลยโดยไม่สนใจว่าใครจะเริ่มก่อนหลัง เมื่อทำพร้อมๆกันโดยไม่ต้องนัดหมายเห็นผลแน่

10 วิธีเรีนเก่ง

10 วิธีเรียนยังไงให้เก่ง
10 วิธีเรียนยังไงให้เก่ง
1.มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งเรียนหนังสือที่บ้าน จำไว้ว่าสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เรามีสมาธิในการเรียน
2.ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหนและลงมือทำอย่างเต็มที่จนเสร็จ
3.บางวิชาที่ยากๆให้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ช่วยกันติว ช่วยกันเรียน ผลัดกันค้นคว้า ตั้งคำถาม จะช่วยให้เก่งกันยกกลุ่ม
4.มีเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกๆวัน วันละนิดวันละหน่อย ฝึกจนเป็นนิสัย อย่าตั้งใจเรียนหนังสือเป็นพักๆ
5.ฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอๆ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ จัดระเบียบความคิด และ สรุปเนื้อหาจะช่วยในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
6.นั่งใกล้ครูมากที่สุด จะได้ไม่มีอะไรมาดึง ความสนใจในการเรียนของเรา
7.ทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าทำเสร็จเร็วเท่าไร จะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น
8.จัดลำดับความสำคัญของวิชาที่ต้องทำ เช่น วิชาไหนด่วนที่สุด หรือหัวข้อไหนไม่เข่าใจ ต้องเรียงลำดับไว้ และ ทำ ตามให้ได้
9.ทำความเข้าใจว่าครูผู้สอนแต่ละวิชามีการให้คะแนนอย่างไร คะแนนเก็บเท่าไร คะแนนสอบเท่าไร วางแผนทำคะแนนให้ดีในแต่ละส่วน
10.สำคัญที่สุดในการเรียน ก็คือมุ่งมั่นตั้งใจเรียนไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าตัวเราเองไม่อยากเรียนเก่ง เพราะฉะนั้นจำไว้ว่า Work Smart , Not Hard

กินผลไม้ให้ถูกเวลา

กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า
บ้านเราโชคดีที่เป็น ประเทศที่มีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกกินกันได้ไม่มีขาดตลอดทั้งปี แถมราคาก็ยังไม่แพง ได้ของสดๆ ตรงจากสวนจากไร่แทบไม่ต้องง้อผลไม้ แช่เย็นจากแดนไกล ( เว้นแต่ใครอยากกินผลไม้แปลกใหม่ไม่มีในเมืองไทยก็ไม่ว่ากัน) ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาชาวต่างชาติมากมายติดใจไม่น้อย เพราะที่บ้านเมืองเขาอาจซื้อหาผลไม้ มากินในราคาถูกแบบนี้ได้ไม่ง่ายนักคนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะ จะได้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก หรือคุณอาจเคยได้ยินว่า กินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก แถมยังทำให้อารมณ์ดี เพราะเชื่อว่าในกล้วยมีสาร Tryptophan เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น Serotonin ที่เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็น เรื่องรอง มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย
ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์
หนังสือขายดีไปทั่วโลกชื่อ Fit for Life ของนักบรรยายเรื่องโภชนาการชาวอเมริกัน ฮาร์วีย์ และมาริลีน ไดมอนด์ ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินผลไม้จนเราอดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่ายทอดสู่กัน ฟังว่า ที่จริงแล้วเมื่อสืบค้นถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ อย่างที่ ดร.อลัน วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ ได้เผยผลการศึกษาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2522 นั้น ดร.วอล์คเกอร์ได้ศึกษาอย่างละเอียดทั้งจากหลักฐาน โครงกระดูกและฟันของมนุษย์ ตลอดจนซากฟอสซิลต่างๆ เขายืนยันว่ามนุษย์นั้น แต่เดิมไม่ใช่เป็นพวกที่กินเนื้อ เมล็ดพืช หรือแม้แต่ผักหญ้าใดๆ หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วย การเก็บผลไม้มากิน ธรรมชาติได้สร้างร่างกายคนให้รองรับกับการกินผลไม้เป็น อาหารตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เพิ่งมามีช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้เองที่เราหันไปกินเนื้อสัตว์กันมาก ขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งผลตามมาก็คือ ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก บางครั้งปรับตัว ไม่ไหวก็กลายเป็นพิษ เห็นจากอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เต้านม ตับ กระเพาะอาหาร ฯลฯ ขณะที่การกินผลไม้เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยล้างพิษ เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ ในปริมาณ 80-90% ทั้งมีกากใย จึงช่วยกวาดล้างพิษต่างๆ ซึ่งคั่งค้างในร่างกายให้ออก ไปโดยการขับถ่าย ดังนั้นเมื่อรวมกับสารอาหารที่เราได้จากผลไม้แล้ว จึงนับว่าเป็นอาหาร ที่ให้ประโยชน์กับร่างกายสูงกว่าอาหารอีกหลายชนิด ในข้อแม้ว่าต้องกินอย่างถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ
นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่า การกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึง ผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลง ผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผล ต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาล ฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจาก น้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาล ผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ยถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของ การเกิดโรคหัวใจและหัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไป อุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร จากผลไม้ไปใช้ในร่างกายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อย จะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะ ไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป
กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด
ไดมอนด์เสนอแนว ความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่าย ของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกาย จะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้ อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้ พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหาร อื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไป ตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลา ย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็ก ได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหาร และผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้ เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้ จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กิน ผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น
ดังนั้นหากใครที่กินอาหาร แล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้า นั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย
ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่น จนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่า ของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อย ต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่ สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเรา สามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อย กินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหาร สำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ
มาตรฐานคือ ต้อง “ สด ” 100%
ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ใน สภาพธรรมชาติเท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือก ดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหาร แบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็น วันที่แจ่มใสได้อีกด้วยแนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นอีกแนวทาง หนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลายนะคะ

ภัยสังคมของผู้หญิง

พอดีเมื่อตอนเย็นหลังเลิกงานได้คุยกับนายช่างตามประสาผู้ชาย (ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคงหนีไม่พ้นเรื่องผู้หญิง) ส่วนเราเป็นผู้หญิงคนเดียวเลยนั่งฟังตาปริบ และถือเป็นความรู้ประดับตัวสำหรับผู้หญิงยามเจอผู้ชายเจ้ามารยา

เรื่องมันเริ่มจากการจีบหญิงเหมือนเช่นทุกวัน บางทีก็พูดกันเรื่องกรรมกรสาวคนนั้นคนนี้น่า....ชะมัด (ขอละเป็นที่เข้าใจแล้วกัน) แต่ไม่รู้คุยกันอีท่าไหนก็มาถึงเรื่อง ข่มขืนผู้หญิงโดยไม่มีความผิด (ผู้ชายอาจถือเป็นเคล็ดวิชา แต่ท่านผู้หญิงทั้งหลายควรระวังตัว!!)

วิธีง่าย ๆ สำหรับการหลอกหญิงมาข่มขืน ก็คือผู้ชายวางแผนพาหญิงไปกินข้าวที่โรงแรม อาจจองห้องไว้ แล้วให้ผู้หญิงสั่งอาหารเอง รับอาหารจากบ๋อยเอง แล้วเปิดประตูทิ้งไว้โดยไม่ปิดเพื่อให้ผู้หญิงวางใจว่าผู้ชายไม่ได้หลอกพามาฟัน ส่วนผู้ชายก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ไปอาบน้ำ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ต้องสั่งอาหารหรือรับอาหารจากมือบ๋อย หลังจากนั้นก็สร้างภาพง่าย ๆ โดยการส่งเสียงดังเฮฮา เพื่อให้คนภายนอกรู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น และเมื่อคนภายนอกตายใจ หรือเรียกว่าการสร้างพยานนั่นเอง ผู้ชายก็จัดการล็อคประตูแล้วข่มขืนผู้หญิงทันที

เรื่องมันก็มีแค่นี้ล่ะ หากแจ้งตำรวจขึ้นโรงขึ้นศาล พอไปสืบสวนสอบสวนจากพยานในเหตุการณ์ เขาก็รายงานตามที่เห็นว่าคนสั่งอาหารเป็นคุณผู้หญิง รับอาหารก็คุณผู้หญิง ส่งเสียงเฮฮาโล้งเล้งก็คุณผู้หญิง คุณผู้ชายไม่ได้แตะต้องหรือทำอะไรที่เป็นการส่อว่าล่อลวงมาข่มขืนเลย และเข้าทำนองว่ายินยอมพร้อมใจเองหรือเปล่าด้วยประการฉะนี้

หากผู้หญิงคนไหนนัดทานข้าวกับชายใดควรระวังให้จงหนักไว้คราวหลังจะหลอกถามนายช่างเรื่องควรระวังของผู้หญิงต่อ
........................................................................................................................................................................

ไม่ว่าคอนโดฯ ที่คุณอยู่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยแค่ไหน ผู้หญิงที่อยู่ตามลำพังย่อมมีโอกาสตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสทำร้ายคุณได้ตลอดเวลา
ที่พักอาศัยไม่ใช่ที่ปลอดภัยที่สุด หญิงสาวที่อยู่คอนโดฯ ตามลำพังมีโอกาสเสี่ยงตกเป็นเหยื่อแก๊งทรชนได้โดยไม่ทันตั้งตัว บางรายแค่ถูกชิงทรัพย์ บางรายถูกข่มขืนแต่ร้ายที่สุดคือถูกฆ่าหมกห้องพัก เหตุเพียงเพราะมิจฉาชีพ มองว่าผู้หญิงเป็นเป้าหมายที่ลงมือได้ง่าย ผนวกกับสถานการณ์รอบข้างที่เอื้อต่อการลงมือของคนร้าย ที่พักเป็นภัย
หลายปีก่อนเกิดเหตุฆาตกรรมสุดสยองดังสนั่นกรุง เมื่อพนักงานธนาคารสาวหน้าตาสวยและรูปร่างดีที่อาศัยอยู่คอนโดฯ คนเดียวเพียงลำพังย่านรามคำแหง ถูกคนร้ายปืนเข้าหลังห้องหวังจะจี้ชิงทรัพย์ แต่หญิงสาวพยายามต่อสู้ก็เลยถูกคนร้ายใช้มีดแทงจนสิ้นใจตาย หรือไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็มีข่าวเด็กสาววัย 17 ปี ซึ่งพักอาศัยอยู่กับน้าสาวบนชั้น 10 ของคอนโดฯ แห่งหนึ่ง ถูกวัยรุ่นขายล็อกคอฉุดกระชากออกจากลิฟต์หมายจะข่มขืนและทำร้ายร่างกายเธอ หลังจากร้องไห้คนช่วย และสุดท้ายเธอก็หนีรอดออกมาได้ แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ใช่ว่าจะโชคดีทุกคน เพราะล่าสุดก็มีข่าวนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งถูกคนร้ายฆ่ารัดคอบนเตียงในคอนโดมิเนียมย่านลาดพร้าว พร้อมลักทรัพย์ไปหลายรายการ อีกทั้งยังมีข่าวไม่คาดฝันเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้คอนโดฯ ชื่อดัง ย่านบางรักและไฟคลอกเจ้าของห้องเสียชีวิตรวม 3 ศพ
ทั้งๆ ที่มีข่าวเตือนภัยในหลายรูปแบบออกมาอย่างต่อเนื่องแต่ภาระหน้าที่การงานในปัจจุบัน ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องเข้ามาใช้ชีวิตในสังคมเมืองมากขึ้น ครั้นจะไปซื้อบ้านชานเมืองอยู่ เดี๋ยวนี้ก็ราคาแพง หลังก็เล็กลง และเสียเวลาเดินทาง เข้าเมืองเป็นชั่วโมง สิ้นเปลืองค่าน้ำมันอีกต่างหาก พวกเธอจึงตัดสินใจหาซื้อคอนโดฯ ใจกลางเมือง ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในชีวิตทุกๆ ด้าน จากการเปิดเผยของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์รายงานว่า ปีที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินเปิดให้บริการถึง 95 โครงการ มากกว่า 36,801 ยูนิต ขายไปแล้วมากกว่า 23,441 ยูนิต และคาดว่าในอนาคตกำลังจะเกิดขึ้นอีกหลายสิบโครงการ
ขณะเดียวกันท่ามกลางความเจริญและความสะดวกสบายที่ผู้คนยุคใหม่ใฝ่หาและมองว่าคอนโดมิเนียมเป็นที่พักชั้นดีที่จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภัยร้าย เช่น การแลกบัตรเข้า-ออก กุญแจการ์ดที่อนุญาตให้เฉพาะผู้ถือบัตรเข้าอาคารได้ กล้องวงจรปิดที่บันทึกทุกความเคลื่อนไหว สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ แต่ถ้าขาดการรักษาความปลอดภัยที่ควรมี ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าเหตุร้ายจะไม่เกิดขึ้นกับคุณ
จากการสำรวจอาชญากรรมในภาคประชาชนปี 2549 ในเขตกรุงเทพฯ พบว่า สถานที่เกิดเหตุมากที่สุดคือ บริเวณที่พักอาศัยหรือห้องพักของผู้เสียหาย อาชญากรรมต่อชีวิตที่พบมากที่สุดคือ เหยื่อถูกทำร้ายด้วยการฉุด กระชาก ผลัก ตบดี และทำร้ายด้วยอาวุธ ผู้ก่อเหตุเป็นคนแปลกหน้าเพียงแค่ 11% แต่เป็นคนที่พักอาศัยอยู่ใกล้ชิดหรือคนรู้จักมากถึง 84% ชีวิตแทรนด์ใหม่ ภัยร้ายใกล้ตัว
ท่ามกลางการใช้ชีวิตในคอนโดฯ ที่สะดวกสบายและมีทุกสิ่งตอบสนองการใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องการ โดยเฉพาะมีระบบป้องกันความปลอดภัยแน่นหนากว่าที่พักอื่นอย่างพาร์ตเมนต์ แฟลต หอพัก ฯลฯ แต่นั่นก็ไม่ได้การันดีว่าชีวิตคุณจะปลอดภัยและห่างไกลจากพวกมิจฉาชีพหรือตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี
คุณรู้หรือไม่ว่า เมื่อเทียบสถิติปี 2540 กับปี 2547 คดีข่มขืนมีสถิติพุ่งสูงขึ้น 35% จากตัวเลข 3,714 คดี เพิ่มขึ้นเป็น 5,052 คดี แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ สถิติข่มขืน และลวนลามทางเพศ 75% เกิดขึ้นในที่พักของเหยื่อเอง ไม่น่าเชื่อว่าอันตรายในที่พักจะน่ากลัวขนาดนั้น คุณสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าฝ่ายศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อหญิง เปิดเผยถึงสาเหตุของภัยต่างๆ ในคอนโดฯ ว่า
"ผู้หญิงที่อยู่อาศัยในคอนโดฯ ต้องระมัดระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้มากขึ้น มีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่า ผู้หญิงที่อยู่คอนโดฯ คนเดียวไม่ค่อยปลอดภัยและมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ง่าย คอนโดฯ เป็นพื้นที่ส่วนรวม ทางเจ้าของและผู้อยู่อาศัยคอนโดฯ ก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน จะหวังให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือมีใครมาช่วยดูแลอย่างเดียวก็คงไม่ไหว และคนที่จะไปพักอาศัยก็ต้องดูเรื่องระบบความปลอดภัยด้วย ไม่ใช่แต่ว่ามีคีย์การ์ดแล้วจะปลอดภัย เดี๋ยวนี้คอนโดฯ บางแห่งพัฒนาถึงขั้นใส่รหัสห้องก่อนเข้าห้องตัวเองหรือผู้อยู่อาศัย บางคนย้ายมาจากคอนโดฯ ที่มีปัญหามีคนตาย มาอยู่คอนโดฯ หรูๆ คิดว่าจะดี กลับมาเจอปัญหาเดิมๆ เข้าอีก ยิ่งผู้หญิงที่อยู่คนเดียวก็ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยส่วนตัวเท่านั้น บางครั้งจอดรถไว้ดีๆ ก็มีของหล่นมาทำให้รถบุบหรือรถเฉี่ยวชนกันในลานจอดรถ ซึ่งคุณไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ" อยู่คอนโดฯ ใช่โชคดีเสมอไป
ไม่ว่าคุณสาวๆ จะระมัดระวังตัวดีแค่ไหนก็ตาม แต่ที่พักอาศัยในคอนโดฯ ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกคนเสมอไป
• ระมัดระวังคนแปลหน้า นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ช่างไฟฟ้า ช่างประปา รวมไปถึงบุคคลภายนอก
• ภัยจากมุมตึก หรือบริเวณที่ลับตาคนภายในคอนโดฯ เช่น ทางหนีไฟ มุมทางเดินระหว่างบันไดในบางครั้งอาจจะมีคนร้ายแฝงอยู่เพื่อชิงทรัพย์หรือทำร้ายร่างกาย
• ลิฟต์ ควรตรวจสอบระบบการทำงานก่อนสักนิดว่าประตูลิฟต์เปิด-ปิดติดขัดหรือไม่ หากคนอื่นขึ้นลิฟต์ด้วยและควรพิจารณาบุคลิกลักษณะ ถ้าไม่น่าไว้ใจก็ปล่อยให้เขาขึ้นลิฟต์ไปก่อน
ลักทรัพย์ ลวนลามทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นคนในคอนโดฯ หรือคนภายนอก ก่อนให้เข้าห้องควรตรวจสอบว่าเขาเป็นใครก่อน เพราะมิจฉาชีพจะเข้ามาลักทรัทย์หรือลวนลามทางเพศและข่มขืนได้
• ทรัพย์สินเสียหาย กรณีที่พบบ่อยๆ คือรถโดนขูดโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งคนที่อาศัยอยู่คอนโดฯ มีโอกาสเกิดได้ทุกคน ส่วนใหญ่ในลานจอดรถไม่มีกล้องวงจรปิด
• ไฟไหม้เป็นอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้เสมอ ถ้ามีห้องใดห้องหนึ่งในคอนโดฯ เป็นต้นเพลิงก็สามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้าคุณไม่รู้ทางหนีทีไล่ก็มีโอกาสเสี่ยงไม่น้อยไปกว่ากัน ประสบการณ์จริงในคอนโดฯ

คำคมภาษาอังกฤษ

"The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes."
- - Benjamin Disraeli - -
ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง

"You get the best out of others when you give the best of yourself."
- - Harvey Firestone - -
"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป"

"If you always do what interests you, then at least one person is pleased."
- - Katherine Hepburn - -
ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่ เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ

"Only two things are infinite, the universe and human stupidity,and I'm not sure about the former."
- - Albert Einstein - -
มีเพียงสอง สิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือจักรวาล และอีกสิ่งคือความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น

"Life remains the same until the pain of remaining the samebecomes greater than the pain of change."
- - Anonymous - -
ชีวิตจะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งความเจ็บปวดจากความนิ่งเฉย จะมากกว่าความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง

"He who loses money, loses much; He who loses a friend, loses more; He who loses faith, loses all."
- - Anonymous - -
เขา..ผู้ สูญสิ้นทรัพย์สินไปเขา..สูญเสียมากเหลือเกินเขา..ผู้สูญสิ้น เพื่อนไปเขา..สูญเสียมากกว่าเขา..ผู้สูญสิ้นความศรัทธาเขา..ผู้ นั้น.. สูญเสียยิ่งกว่าใครๆ

"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."
- - Anonymous - -
ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว

"The only thing in life achieved without effort is failure."
- - Anonymous - -
มี เพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือ ความล้มเหลว

"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."
- - Anonymous - -
บาง คนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

"No bird soars too high if he soars with his own wings."
- - William Blake - -
ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีก ของมันเอง

"Obstacles are those frightful things you seewhen you take your eyes off your goals."- - Anonymous - -
อุปสรรค คือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง

"Advice is like snow; The softer it falls the longer it dwells upon,and the deeper it sinks into, the mind."
- - Samuel Taylor Coleridge - -
คำแนะนำเหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมา ยิ่งบางเบาเพียงใดก็ยิ่งแตะเพียงเปลือกนอก และยิ่งหนักหนาเท่าใดก็ยิ่งลึกถึงความรู้สึกเท่านั้น

"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."
- - W.Shakespeare - -
ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว

"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;Small minds discuss people."
- - Anonymous - -
จิตใจที่ยิ่ง ใหญ่วิพากย์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากวิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน

"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it."
- - D.Kaye - -
ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้ง หมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา

"Forgive your enemies, but never forget their names."
- - J.F.Kennedy - -
จง ยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด

"The only man who never makes mistakes is the man who never does anything."
- - T.Roosevelt - -
คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

"If you want to increase your success rate,double your failure Rate."
- - T.Watson Jr (Founder of IBM) - -
ถ้าคุณต้องการประสบความ สำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว

"Even a Step back can be fatal."
- - W.Brudzinski - -
แม้ แต่การก้าวถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้

"Imagination is more important than knowledge."
- - Albert Einstein - -
จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ที่มี

"The reward of a good thing well done is to have it done."
- - Ralph Waldo Emerson - -
รางวัล ของสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมคือการได้สร้างมันขึ้นมา

"You see things and you say, 'Why?'!But I dream things that never were; and I say, 'Why not?"- - George Bernard Shaw - -
คุณ เห็นบางสิ่งบางอย่าง คุณจะพูดว่า"ทำไม" ในขณะที่ฉันได้เห็นความฝันของฉันซึ่งไม่เคยเป็นไปได้ ฉันพูดว่า "ทำไมถึงไม่มีสิ่งนั้นล่ะ"

"Do what you can, with what you have, where you are."
- - Theodore Roosevelt - -
ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่

"Freedom is nothing else but a chance to do better."
- - Albert Camus - -
อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น

"The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams."
- - Eleanor Roosevelt - -
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของ ตัวเองเท่านั้น

"God gives every bird it's food, But He does not throw it into it's nest".
- - Anonymous - -
พระ เจ้ามอบอาหารให้แก่นกทุกตัว แต่ไม่เคยโยนอาหารให้ถึงรังของนกเหล่านั้น"

มารยาทในการฟัง

มารยาทในการฟัง

1. เมื่อฟังอยู่เฉพาะหน้าผู้ใหญ่ ควรฟังโดยสำรวมกิริยามารยาท ฟังด้วย

ความสุภาพเรียบร้อย และตั้งใจฟัง

2. การฟังในที่ประชุม ควรเข้าไปนั่งก่อนผู้พูดเริ่มพูด โดยนั่งที่ด้านหน้า

ให้เต็มก่อนและควรตั้งใจฟังจนจบเรื่อง

3. จดบันทึกข้อความที่สนใจหรือข้อความที่สำคัญ หากมีข้อสงสัยเก็บไว้ถามเมื่อมีโอกาสและถามด้วยกิริยาสุภาพ เมื่อจะซักถามต้องเลือกโอกาสที่ผู้พูดเปิดโอกาสให้ถาม หรือยกมือขึ้นขออนุญาตหรือแสดงความประสงค์ในการซักถาม ถามด้วยถ้อยคำสุภาพ และไม่ถามนอกเรื่อง

4. มองสบตาผู้พูด ไม่มองออกนอกห้องหรือมองไปที่อื่น อันเป็นการแสดงว่าไม่สนใจเรื่องที่พูด และไม่เอาหนังสือไปอ่านขณะที่ฟัง หรือนำอาหารเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานระหว่างฟัง

5. ฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเองกับผู้พูด แสดงสีหน้าพอใจในการพูด ไม่มีแสดงกิริยาก้าวร้าว เบื่อหน่าย หรือลุกออกจากที่นั่งโดยไม่จำเป็นขณะฟัง

6. ฟังด้วยความสุขุม ไม่ควรก่อความรำคาญให้บุคคลอื่น ควรรักษามารยาทและสำรวมกิริยา ไม่หัวเราะเสียงดังหรือกระทืบเท้าแสดงความพอใจหรือเป่าปาก

7. ฟังด้วยความอดทนแม้จะมีความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้พูดก็ควรมีใจกว้างรับฟังอย่างสงบ

8. ไม่พูดสอดแทรกขณะที่ฟัง ควรฟังเรื่องให้จบก่อนแล้วค่อยซักถามหรือแสดงความคิดเห็น

9. ควรให้เกียรติวิทยากรด้วยการปรบมือ เมื่อมีการแนะนำตัวผู้พูด ภายหลังการแนะนำ และเมื่อวิทยากร พูด จบ